S
saranyoo13
ผมชื่อต้นคับ อยู่หาดใหญ่
ผมอยากถามว่าเกียร์ออโต้หรือเกียร์ธรรมดาอันไหนขับสนุกกว่า
ช่วยบอกความแตกต่าง 1j boกับ2j bo
ผมอยากถามว่าเกียร์ออโต้หรือเกียร์ธรรมดาอันไหนขับสนุกกว่า
ช่วยบอกความแตกต่าง 1j boกับ2j bo
กรุณาปิด โปรแกรมบล๊อกโฆษณา เพราะเราอยู่ได้ด้วยโฆษณาที่ท่านเห็น
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see
คำถามนี้เอาเป็นว่าขับสนุกหรือไม่คุณนั่นแหล่ะเป็นผู้ตัดสินใจคงไม่มีใครตัดสินใจแทนคุณได้ครับ ยกตัวอย่างไปอาบอบนวด หมอนวดบางคนอวบอั๋นนมใหญ่ บางคนเอวบางร่างน้อยนมเล็กหรือบางคนนมใหญ่ พ๋มขอถามกลับว่าคุณชอบแบบไหน แล้วคนที่คุณไม่ชอบอย่านึกว่าคนอื่นเค๊าไม่ชอบ ที่ยกมานี่มันนานาจิตใครมีกระตังค์พอที่จะไขว้คว้ามาแบบไหน..ตามทุนที่มี ซึ่งบางครั้งใจชอบแต่ไม่มีทุน บางครั้งมีทุนแต่ไม่มีของ บางครั้งมีทั้งทุนมีทั้งของแต่ใจมันไม่ชอบอ่ะครับ...555...
ขออนุญาตตั้งคำถามให้ใหม่ อยากถามว่ารถเกียร์ออโต้กับเกียร์ธรรมดามีความแตกต่างกันในการใช้งานอย่างไร. และระหว่างเครื่อง 1JZGTE และ 2JZGTE แตกต่างกันอย่างไร..แบบนี้อธิบายกันยาว..เด้วว่างจะมาช่วยตอบคำถามนะขอครับ...
ยังไง เกียร์ m/t ก็ขับมันกว่า แต่ผมก็ใช้ ออโต้ เพราะเบื่อมานั่งเหยียบครัชท์ เปลี่ยนเกียร์เวลารถติดๆ
ถ้าคุณเจอมาแบบผม แล้วจะอ๋อ ปีใหม่ขับรถไปสกล ออกวันที่คนออกเยอะๆ รถติดตั่งแต่บางบัวทอง
ไปถึง โคราช ออกจาก กทม3ทุ่ม ถึงโคราช 8โมงเช้า ตอนนั้น เกียร์ m/t ครัชท์ os ขับอยู่ เกียร์1-2เบรค
กลับบ้าน มาขาบวม สั่งยกเกียร์ออก เอา ออโต้ใส่เลย
ถ้าคุณเจอมาแบบผม แล้วจะอ๋อ ปีใหม่ขับรถไปสกล ออกวันที่คนออกเยอะๆ รถติดตั่งแต่บางบัวทอง
ไปถึง โคราช ออกจาก กทม3ทุ่ม ถึงโคราช 8โมงเช้า ตอนนั้น เกียร์ m/t ครัชท์ os ขับอยู่ เกียร์1-2เบรค
กลับบ้าน มาขาบวม สั่งยกเกียร์ออก เอา ออโต้ใส่เลย
:wink: :wink: :wink:
เกียร์ออโตเมติกจะมุ่งเน้นในเรื่องความสะดวกสบายโดยเฉพาะการใช้ในเมืองที่มีการจราจรติดขัด การตอบสนองการขับขี่อาจทำได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะในความเร็วและอัตราเร่งขณะแซง การดูแลรักษามีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงเพราะมีระบบสลับซับซ้อน<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" /><o:p></o:p]
เกียร์ธรรมดาจะความทนทาน ตอบสนองการขับขี่ได้เต็มที่ การดูแลรักษาง่ายและประหยัดที่สำคัญแต่งได้แรงกว่า แต่ถ้าขับในสภาพการจราจรติดขัดก็ทำให้ปวดเมื่อยเช่นกัน<o:p></o:p]
แต่หากมีความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคต่าง ๆ ในการใช้เกียร์ออโตเมติก ก็จะทำให้ขับรถเกียร์ออโตเมติกได้อย่างสบาย และไม่แพ้รถเกียร์ธรรมดาเลย ซึ่งตามปกติเวลาขับรถเกียร์ออโตเมติก ผู้ขับขี่ส่วนมากใช้เกียร์อยู่เพียง 4 ตำแหน่ง นั่นคือ
"D" เมื่อต้องการขับรถไปข้างหน้า
"R" เมื่อต้องการถอยหลัง
"N" หรือ "P" เมื่อต้องการจอดหรือสตาร์ตรถ
อันที่จริงแล้วคุณควรใช้เกียร์ตำแหน่งอื่น เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ เช่น การคิกดาวน์ การเชนเกียร์ลงต่ำ หรือการกดปุ่มที่เขียนว่า Hold หรือ Auto Manual โดยตำแหน่ง Hold หรือ Manual จะมีความหมายเดียวกันคือเป็นการล็อคเกียร์ในตำแหน่งต่าง ๆ ไว้ให้เปลี่ยนตามจังหวะการโยกคันเกียร์ซึ่งล้วนเป็นการเพิ่มแรงบิดในเกียร์ออโตเมติกทั้งสิ้น
ส่วนการเปรียบเทียบข้อมูลของเครื่อง ลองดูในเว็ปของ Clubjz ครับตามกระทู้<o:p></o:p]
http://www.clubjz.net/showthread.php?t=168
http://www.clubjz.net/showthread.php?t=5762<o:p></o:p]
รู้จักกับเครื่องยนต์
บล็อกเครื่องขนาดความจุ 2,491 ซีซี ยอดฮิตจากค่ายโตโยต้าตัวนี้ มีทั้งแบบเครื่องยนต์เทอร์โบและ NA ในตัว GTE นั้นอาจเรียกขานต่างกันว่าปลั๊กหนา (ฝาบรอนซ์) และปลั๊กบาง (ฝาดำ) ถ้าเป็นตัวปลั๊กหน้านั้นเป็นเครื่องยนต์ปีต่ำกว่า 1995 เครื่องยนต์ GTE กับเครื่อง GE เกียร์ธรรมดา 5 สปีด จะมีอัตราทดเฟืองท้ายที่ 4.1 แต่ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติจะมีอัตราทดแทนเฟืองท้าย 4.038
ส่วนตัวปลั๊กบางซึ่งเป็นเครื่องปีใหม่หลังปี 1995 เกียร์ธรรมดานั้นถูกผลิตออกมาน้อย จะมีอัตราทดเท่าเดิม จะปรับในส่วนของเกียร์อัตโนมัติ ถ้าเป็นตัวปกติจะใช้ 3.909 แต่ถ้าเป็นตัว SOARER จะใช้ 3.916 เพื่อให้อัตราเร่งดีขึ้นกว่าเดิม สนนราคา 1JZ-GE 25,000-35,000 บาท, 1JZ-GTE เกียร์ธรรมดา ประมาณ 55,000-65,000 บาท ส่วนเกียร์ออโต้ 50,000-55,000 บาท
สามารถนำไปวางได้ในบอดี้เครื่องยนต์ขับหลังทั้งหมด ในบ้านเรานิยมวางใน A31, 200SX, BMW หรือในรถกระบะแทบทุกค่าย
อาจจะเป็นบล็อกเก่าไปซะแล้ว เมื่อเครื่องตระกูล JZ กำเนิดตอนต้นทศวรรษที่ 90 ทำให้ปัจจุบันนี้ตระกูล 1G-GTE ทั้งเกียร์ออโต้และเกียร์ธรรมดามีราคาขายไม่แพงมากอยู่ที่ 35,000-38,000 บาท โดยที่ตัวเทอร์โบนั้นจะมีอัตราทดเฟืองท้ายเกียร์ธรรมดาที่ 4.566 ส่วนเกียร์ออโต้นั้นใช้ 4.3
ด้วยขนาดของลูกสูบที่ไม่เอื้อต่อการปรับแต่งให้ใช้อะไหล่กับบล็อกอื่นๆ ปัจจุบัน 1G ทั้งหลายอาจถูกนำไปวางใส่ในบอดี้รถเก่า รถคลาสสิกกันพอสมควร
บล็อกท็อปยอดฮิตของวัยรุ่นบ้านเรากับขนาดเครื่องยนต์ 2,997 ซี.ซี. ความน่าสนใจอยู่ที่ ตัวเทอร์โบที่อยู่ในบอดี้ Supra แบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด จะมีอัตราทดเฟืองท้ายที่ 3.266 แต่หากเป็นเกียร์ธรรมดา 5 สปีดปรกติ จะใช้ 4.083 ส่วนเกียร์ออโต้นั้นอยู่ที่ 3.769
ส่วนตัวไม่มีเทอร์โบนั้น แรงม้าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 230 ps ราคาเครื่องยนต์บล็อกนี้ 2JZ-GE เกียร์ออโต้และเกียร์ธรรมดาอยู่ที่ 40,000-45,000 บาท แต่ถ้าเป็น 2JZ-GTE เกียร์ธรรมดาจะแพงกว่าเกียร์ออโต้อยู่หมื่นกว่าบาท แต่ค่าตัวทั้งสองแบบใกล้เคียงหลักแสนบาทแล้ว
นับว่าเป็นบล็อกพันธุ์แรงที่ว่ากันว่า ลงทุนค่าสนับสนุนความแรงและค่าเสื่อมถอยถูกที่สุดในบรรดาเครื่องยนต์ระดับเดียวกัน เช่นเดียวกับ 1J ที่นิยมวางเล่นใน A31, 200SC, BMW หรือวางใน FD3S ก็เคยมี
บล็อกนี้โด่งดังถึงขั้นเคยคว้าแชมป์แรลลี่โลกมาแล้วกับ 3S ทั้งหลาย ตัวท็อปที่เรียกกันว่า ตัว NON-AIRFLOW นั้นเป็นตัวแรงที่สุดกับ 260ps ในบอดี้ CALDINA ซึ่งไม่อยากพูดถึงเครื่องตัวนี้มากนัก เพราะในบ้านเรานั้น เครื่องตัวนี้ยังไม่ค่อยมาถึงเชียงกงสักเท่าไหร่
ในบ้านเราเครื่อง 3S-GTE แบบ NON-AIRFLOW จะมีด้วยกัน 2 ตัวก็คือ ตัวขับเคลื่อนสี่ล้อ มีเฟืองท้ายขนาด 4.285 ในบอดี้ GT-4 255 แรงม้า และตัววางกลางใน MR2 245 แรงม้า ความแตกต่างที่สังเกตได้ง่ายๆ ก็คือ ที่ตัวไดชาร์จในเครื่อง GT-4 จะอยู่ด้านบน สังเกตง่าย ส่วนใจตัว MR2 ไดชาร์จจะซ่อนหลบอยู่ข้างล่าง ราคาซื้อขายสองตัวนี้แพงที่สุด ซื้อกันทั้งแพหน้าประมาณ 50,000-60,000 บาท ส่วนตัว 3S ธรรมดานั้นราคาไม่แพงมากนักจะตกอยู่ราวๆ 25,000-30,000 บาท
อาการฮิตกับเครื่อง 3S นั้น สามารถนำไปวางใส่ในรถยนต์ที่มีบอดี้พื้นฐานขับเคลื่อนล้อหน้าได้แทบทุกรุ่น เคยเห็นกันว่าวางใน เปอโยต์ ฮุนได ก็มี แต่ถ้าให้ดีต้องเล่นบอดี้ตามสายพันธุ์อย่างรถโตโยต้า CORONA หรือ COLRONA บอดี้ AE ทั้งหลายจะเหมาะที่สุด
เครื่องยนต์ขับหลังขนาด 3 ลิตร ขนาดใหญ่อีกหนึ่งบล็อก ของโตโยต้าที่เคยประจำการอยู่ใน SUPRA ตัวแรกมาก่อน เครื่อง 7M เป็นเครื่องขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก แต่ค่อยข้างทรหดอดทน ตัวท็อปนั้นให้แรงม้าสูงสุดถึง 270 ตัว มีเกียร์ธรรมดา 5 สปีดอย่างเดียว ราคาขาดตัวประมาณ 50,000- 55,000 บาท
อาจไม่ค่อยพบเห็น 7M ในห้องเครื่องรถแต่งซิ่งสักเท่าไหร่ แต่ก็สามารถวางเล่นกันได้ในเครื่องยนต์ขับหลังทุกรุ่น ถ้าไม่ใช่ปิกอัพกระบะก็น่าจะเป็นเบนซ์รุ่นเก่าๆ น่าจะดี
บล็อกเครื่องขนาดความจุ 2,491 ซีซี ยอดฮิตจากค่ายโตโยต้าตัวนี้ มีทั้งแบบเครื่องยนต์เทอร์โบและ NA ในตัว GTE นั้นอาจเรียกขานต่างกันว่าปลั๊กหนา (ฝาบรอนซ์) และปลั๊กบาง (ฝาดำ) ถ้าเป็นตัวปลั๊กหน้านั้นเป็นเครื่องยนต์ปีต่ำกว่า 1995 เครื่องยนต์ GTE กับเครื่อง GE เกียร์ธรรมดา 5 สปีด จะมีอัตราทดเฟืองท้ายที่ 4.1 แต่ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติจะมีอัตราทดแทนเฟืองท้าย 4.038
ส่วนตัวปลั๊กบางซึ่งเป็นเครื่องปีใหม่หลังปี 1995 เกียร์ธรรมดานั้นถูกผลิตออกมาน้อย จะมีอัตราทดเท่าเดิม จะปรับในส่วนของเกียร์อัตโนมัติ ถ้าเป็นตัวปกติจะใช้ 3.909 แต่ถ้าเป็นตัว SOARER จะใช้ 3.916 เพื่อให้อัตราเร่งดีขึ้นกว่าเดิม สนนราคา 1JZ-GE 25,000-35,000 บาท, 1JZ-GTE เกียร์ธรรมดา ประมาณ 55,000-65,000 บาท ส่วนเกียร์ออโต้ 50,000-55,000 บาท
สามารถนำไปวางได้ในบอดี้เครื่องยนต์ขับหลังทั้งหมด ในบ้านเรานิยมวางใน A31, 200SX, BMW หรือในรถกระบะแทบทุกค่าย
อาจจะเป็นบล็อกเก่าไปซะแล้ว เมื่อเครื่องตระกูล JZ กำเนิดตอนต้นทศวรรษที่ 90 ทำให้ปัจจุบันนี้ตระกูล 1G-GTE ทั้งเกียร์ออโต้และเกียร์ธรรมดามีราคาขายไม่แพงมากอยู่ที่ 35,000-38,000 บาท โดยที่ตัวเทอร์โบนั้นจะมีอัตราทดเฟืองท้ายเกียร์ธรรมดาที่ 4.566 ส่วนเกียร์ออโต้นั้นใช้ 4.3
ด้วยขนาดของลูกสูบที่ไม่เอื้อต่อการปรับแต่งให้ใช้อะไหล่กับบล็อกอื่นๆ ปัจจุบัน 1G ทั้งหลายอาจถูกนำไปวางใส่ในบอดี้รถเก่า รถคลาสสิกกันพอสมควร
บล็อกท็อปยอดฮิตของวัยรุ่นบ้านเรากับขนาดเครื่องยนต์ 2,997 ซี.ซี. ความน่าสนใจอยู่ที่ ตัวเทอร์โบที่อยู่ในบอดี้ Supra แบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด จะมีอัตราทดเฟืองท้ายที่ 3.266 แต่หากเป็นเกียร์ธรรมดา 5 สปีดปรกติ จะใช้ 4.083 ส่วนเกียร์ออโต้นั้นอยู่ที่ 3.769
ส่วนตัวไม่มีเทอร์โบนั้น แรงม้าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 230 ps ราคาเครื่องยนต์บล็อกนี้ 2JZ-GE เกียร์ออโต้และเกียร์ธรรมดาอยู่ที่ 40,000-45,000 บาท แต่ถ้าเป็น 2JZ-GTE เกียร์ธรรมดาจะแพงกว่าเกียร์ออโต้อยู่หมื่นกว่าบาท แต่ค่าตัวทั้งสองแบบใกล้เคียงหลักแสนบาทแล้ว
นับว่าเป็นบล็อกพันธุ์แรงที่ว่ากันว่า ลงทุนค่าสนับสนุนความแรงและค่าเสื่อมถอยถูกที่สุดในบรรดาเครื่องยนต์ระดับเดียวกัน เช่นเดียวกับ 1J ที่นิยมวางเล่นใน A31, 200SC, BMW หรือวางใน FD3S ก็เคยมี
บล็อกนี้โด่งดังถึงขั้นเคยคว้าแชมป์แรลลี่โลกมาแล้วกับ 3S ทั้งหลาย ตัวท็อปที่เรียกกันว่า ตัว NON-AIRFLOW นั้นเป็นตัวแรงที่สุดกับ 260ps ในบอดี้ CALDINA ซึ่งไม่อยากพูดถึงเครื่องตัวนี้มากนัก เพราะในบ้านเรานั้น เครื่องตัวนี้ยังไม่ค่อยมาถึงเชียงกงสักเท่าไหร่
ในบ้านเราเครื่อง 3S-GTE แบบ NON-AIRFLOW จะมีด้วยกัน 2 ตัวก็คือ ตัวขับเคลื่อนสี่ล้อ มีเฟืองท้ายขนาด 4.285 ในบอดี้ GT-4 255 แรงม้า และตัววางกลางใน MR2 245 แรงม้า ความแตกต่างที่สังเกตได้ง่ายๆ ก็คือ ที่ตัวไดชาร์จในเครื่อง GT-4 จะอยู่ด้านบน สังเกตง่าย ส่วนใจตัว MR2 ไดชาร์จจะซ่อนหลบอยู่ข้างล่าง ราคาซื้อขายสองตัวนี้แพงที่สุด ซื้อกันทั้งแพหน้าประมาณ 50,000-60,000 บาท ส่วนตัว 3S ธรรมดานั้นราคาไม่แพงมากนักจะตกอยู่ราวๆ 25,000-30,000 บาท
อาการฮิตกับเครื่อง 3S นั้น สามารถนำไปวางใส่ในรถยนต์ที่มีบอดี้พื้นฐานขับเคลื่อนล้อหน้าได้แทบทุกรุ่น เคยเห็นกันว่าวางใน เปอโยต์ ฮุนได ก็มี แต่ถ้าให้ดีต้องเล่นบอดี้ตามสายพันธุ์อย่างรถโตโยต้า CORONA หรือ COLRONA บอดี้ AE ทั้งหลายจะเหมาะที่สุด
เครื่องยนต์ขับหลังขนาด 3 ลิตร ขนาดใหญ่อีกหนึ่งบล็อก ของโตโยต้าที่เคยประจำการอยู่ใน SUPRA ตัวแรกมาก่อน เครื่อง 7M เป็นเครื่องขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก แต่ค่อยข้างทรหดอดทน ตัวท็อปนั้นให้แรงม้าสูงสุดถึง 270 ตัว มีเกียร์ธรรมดา 5 สปีดอย่างเดียว ราคาขาดตัวประมาณ 50,000- 55,000 บาท
อาจไม่ค่อยพบเห็น 7M ในห้องเครื่องรถแต่งซิ่งสักเท่าไหร่ แต่ก็สามารถวางเล่นกันได้ในเครื่องยนต์ขับหลังทุกรุ่น ถ้าไม่ใช่ปิกอัพกระบะก็น่าจะเป็นเบนซ์รุ่นเก่าๆ น่าจะดี
Similar threads
กรุณาปิด โปรแกรมบล๊อกโฆษณา เพราะเราอยู่ได้ด้วยโฆษณาที่ท่านเห็น
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see