กรุณาปิด โปรแกรมบล๊อกโฆษณา เพราะเราอยู่ได้ด้วยโฆษณาที่ท่านเห็น
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see

++เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย และความเป็นมาของ NISSAN CEFIRO A31++

  • เริ่มกระทู้โดย เริ่มกระทู้โดย A31211
  • วันที่เริ่มกระทู้ วันที่เริ่มกระทู้

A31211

mamamusab
Staff Member
Cefiro-Thailand Staff
Nissan Cefiro A31: ตำนานซีดานหรูพ่วงโซนาร์หาปลา ไปๆมาๆกลายเป็นรถแข่งเฉยเลย
J!MMY : Cefiro A31 เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 13 มีนาคมปี 1990 ด้วยสโลแกน "ลีลาแห่งอนาคต" ถือเป็นรถยนต์ Nissan 1
ในหลายๆรุ่น ที่สร้างตำนานให้กับตลาดรถในเมืองไทยเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนจะนำมาขึ้นไลน์ประกอบในประเทศไทยเลยทีเดียว
เพราะแท้จริงแล้ว A31 เป็นรถที่ผลิตขึ้นมาเพื่อตลาดญี่ปุ่นเท่านั้น แต่คณะผู้บริหารไทยได้มีโอกาสยลโฉมมันและมองเห็นลู่ทาง
ในการทำตลาด จึงพยายามสุดความสามารถในการนำมันมาประกอบขายในไทยให้ได้ แม้จะได้ไฟเขียวให้กับคำขอนี้แล้ว
ทีมงานสยามกลการ ในยุคคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช อันมีกุนซือเป็น คุณประพัฒน์ เกตุมงคล พยายามงัดข้อกับ Product
Planning ของ Nissan ที่ญี่ปุ่นอย่างถึงพริกถึงขิง เพราะทางญี่ปุ่นเล่นแทงกั๊ก ให้เครื่องสเป็คเก่า RB20E บล็อก 6 สูบ SOHC
12 วาล์ว 2.0 ลิตร 121 แรงม้า (PS) มาให้ใช้ แถมจะไม่ให้ออพชั่นอะไรเลยมาด้วยซ้ำ ฝ่ายไทยเลยอัดกลับ ด้วยอารมณ์
ประมาณว่า "ถ้าจะให้ของเล่นมาแค่นี้ก็ไม่ต้องมาขายกันเลยดีกว่า" งัดข้อจนในที่สุดทางญี่ปุ่นก็ยอม และให้ของเล่นติดรถมา
มากขึ้น ซึ่งในภายหลังมันกลายเป็นจุดเด่นในการขายของรถรุ่นนี้ เช่นช่วงล่าง DUET-SS มีโซนาร์ซึ่งปรับช่วงล่างแข็ง-อ่อนได้
(รถ Mass Market ในบ้านเราไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน)
ตอนเปิดตัวมามีราคา 1 ล้านบาทเศษ แพงกว่ารถญี่ปุ่นขนาดเครื่องยนต์ และตัวถังใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังขายดีเป็น
เทน้ำเทท่า ถือเป็นรถรุ่นดังในเมืองไทย ณ ยุคสมัย ปี 1990 กันเลยทีเดียว ใครซื้อมาขับ เป็นต้องถูกเพื่อนร่วมถนนมองค้อน
จนเหลียวหลัง ยิ่งช่วงหลังปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ยิ่งราคาลดลงมาเหลือ 7 แสนปลายๆ ก็เลยยิ่งขายดีไปกันใหญ่ (ท่าม
กลางอารมณ์เสียใจ ปนเซ็ง ของคนที่ซื้อไปขับก่อนหน้านั้น) หลังจากนั้นในปี 1992 ก็มีรุ่น 24 วาล์วตามมาอย่างที่ว่าไว้ เสริม
ให้ว่ารถ 24 วาล์วนั้นไฟหน้าจะเป็นสีขาวจัดกว่า 12 วาล์ว กระจังหน้าจะเป็นแบบช่องเดียว และไฟท้ายก็จะมีรูปแบบไม่เหมือน
กับ 12 วาล์ว มีเบาะปรับไฟฟ้าด้านคนขับ พวงมาลัย 4 ก้าน และภายในหุ้มด้วยหนังสีดำ ปี 1994 มีการไมเนอร์เชนจ์ครั้งสุด
ท้ายโดยทั้งรุ่น 12 และ 24 วาล์วได้กระจังหน้าใหม่ และไฟท้ายที่เป็นสีแดงสดขึ้น พวงมาลัยเป็นแบบ 4 ก้านทั้ง 2 รุ่น ทำ
ตลาดต่อมาอีก 2 ปีก่อนจะถูกแทนที่ด้วย “ลีลาแห่งอดีตกาล” อย่าง Cefiro A32 ในเดือนสิงหาคม 1997

attachment.php


Commander CHENG : ในช่วงที่เปิดตัวแรกๆนั้นความสวยเปรียวของมันทำให้ถูกจับจองโดยคน (เกือบ) รวย ไปจนถึงคน
ในวงการบันเทิงมากมาย เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล, คุณแหม่ม จินตรา สุขพัฒน์ และคุณโอ วรุฒ วรธรรมก็เป็นดาราที่เป็นเจ้า
ของ A31 โดยเฉพาะคุณโอ นี่เคยมีข่าวไปจอดติดสี่แยกไฟแดง แล้วก็หลับสนิทคาพวงมาลัยจนเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องทุบกระจก
ปลุก...แล้วก็ไม่ต้องแปลกใจที่มันจะกลายเป็นรถคันโปรดของหัวขโมย ก็เล่นทรงบาดใจแถมทันสมัยซะขนาดนั้น ที่บางคน
ชอบพูดติดตลกว่ามันขโมยเอาโซนาร์ไปติดเรือหาปลา แต่ที่จริงโซนาร์ของ DUET-SS ใน A31 นั้นมีไว้อ่านความเรียบของพื้น
ถนนและปรับโช้คอัพให้นุ่ม-แข็งเหมาะกับ สถานการณ์ A31 ทันสมัยมาก แต่เครื่องยนต์ของมันกลับเป็นแบบ 2 วาล์วต่อสูบ
ธรรมดาๆ 121 แรงม้าที่วิ่งสู้รถเล็กยังแทบจะไม่ได้ ในภายหลังจึงมีรุ่น 24 วาล์ว 152 แรงม้าตามออกมาในปลายปี 92 และนั่น
คือรถประกอบในประเทศรุ่นแรกของไทยที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด 10 ปีหลังจากนั้นมันก็ยังเป็นที่นิยมอยู่เพราะการเป็นรถขับ
หลัง และห้องเครื่องที่ยาวจนวางเครื่อง 6 สูบเรียงได้ ทำให้มันเป็นที่นิยมในการนำมาโมดิฟาย ถ้า 200SX เป็นเจ้าสนามดริฟท์
ไอ้ A31 นี่ก็เป็นเจ้าแห่งสนามควอเตอร์ไมล์ ไปคลองห้าเมื่อไหร่เป็นเจอ
ที่ สงสัยอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับ A31 นี่ก็คือ..ท่าทางมันจะเป็นที่ออกแบบมาโดยอาศัยแนวคิด "Man minimum, Machine
Maximum"หรือเปล่าหว่า เพราะรถกว้าง 1.695 เมตร ยาว 4.675 เมตร แต่ภายในแคบบรรลัย ยิ่งเบาะหลังนั้นแคบแบบแมว
ดิ้นตาย แต่ห้องเครื่องยาว ใหญ่ และกว้าง พูดง่ายๆคือออกแบบรถมาเหมือนเอาใจเครื่องยนต์มากกว่าผู้โดยสารงั้นเถอะ
J!MMY: แต่อย่างไรก็ตาม จนถึงทุกวันนี้ ยากที่เราจะปฏิเสธได้ว่า มันยังคงดูสวย และไม่ได้ดูล้าสมัยไปเลย แม้จะเลิกผลิตไป
ตั้ง 15 ปีแล้วก็ตามเถอะ (นี่เราว่ากันเฉพาะรถคันที่ยังคงสภาพดีอยู่ และเจอปัญหา หลังคาขึ้นสนิมไม่มากนัก เท่านั้นนะ)

ขอบคุณที่มา : http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=1388%3A50-1985-2005-part-ii-&catid=30%3Arewind-by-comman%24
 

ไฟล์แนบ

  • 1988_Nissan_Cefiro_A31_Resize.jpg
    1988_Nissan_Cefiro_A31_Resize.jpg
    27.2 KB · อ่าน: 2,359
แก้ไขล่าสุดเมื่อ:


เคยอ่านแล้วแต่ก็..ยังไม่เข้าใจบางประโยค ซึ่งก็พยายามหาข้อมูลเพิ่มเติม
เกี่ยวการตั้งลายไลน์การประกอบในไทย(ปลายปี 92)....แล้วถ้าก่อนหน้านั้นละ เป็นรถนำเข้าหมดเลยหรอ(อะไหล่ทั้งคัน ก็ต้องทำมาจากยุ่นด้วย?) แล้วช่วงแรกๆที่ตั้งไลน์ในไทย Part บางตัว สั่งทำในไทย หรือว่าเอามาจากยุ่นหนอ....คนวงในช่วยตอบหน่อยครับ

แล้วไหนจะประโยคจากอีกบทความที่เคยได้อ่านจากผู้เขียนท่านนึง...ตรงตัวหนังสือแดงๆที่ไฮท์ไลต์ไว้ ด้านล่างอ่ะ สงสัยมากๆอ่ะ

ซึ่งเท่าที่ผมประมวลผลดูจากประสบการณ์ทำงาน ด้าน Automotive ของบทความทั้งสองนี้
ผมสามารถตีความได้ว่า ช่วงที่กำลังย้ายฐานการประกอบนั้น จะต้องมีบางช่วง ที่อะไหล่นอก และอะไหล่ในไทยที่จะต้องเริ่มหา Supplier ทำ Part เพื่อมา Support เป็นฐานการผลิตในไทย ต้องมีปะปนกันไปในไลน์ประกอบบ้างแหละน่า....

และจากเท่าที่รู้มาอีกอย่าง เรื่องของหลังคา ที่ชอบผุเยอะๆ เป็นบางช่วงการผลิต(พยายามตัดประเด็นเรื่อง การไม่ดูแลรักษารถออกไปก่อนนะครับ เพราะผมเห็นหลายคันเท่าที่ผ่านตามา ใช้รถไม่ดูแล เค้าก็ไม่เห็นผุ)

ที่รู้มาเป็นเพราะว่า ช่วงแรก กรรมวิธีของProcess จะเป็นไลน์การจุ่มลักษณะ ไหลลงไป 45 องศา(ประมาณนะ) แล้วก็จุ่มลงไป เลื่อนไปเรื่อยๆ แล้วก็เอียงขึ้นอีก 45 องศา วิธีนี้ ไล่ฟองอากาศแถวๆคานหลังคาได้ดี โอกาสที่จะเกิดสนิมภายหลังค่อนข้างน้อย แต่ต่อมา มีการปรับ Process ใหม่ เพื่อลดเวลาในการผลิตลง(เพิ่มCapacity) เปลี่ยนมาเป็นวิธี...

เป็นแบบจุ่มลงไปตรงๆ แล้วยกขึ้น วิธีนี้เร็วกว่าวิธีแรก พอแห้งได้ที่จะทำให้เกิดฟองอากาศสะสมอยู่ในคานหลังคามาก มีโอกาสผุสูง แล้วช่วงนั้น นั่นเอง ปัญหาหลังคาผุเริ่มมีให้เห็นกันมาก คิดว่าเค้าน่าจะรู้ เลยกลับมาใช้แบบเดิมในช่วงการผลิตหลังๆอีกเหมือนกัน ที่สำคัญลองย้อนกลับไปในอดีตช่วงเวลาเท่าๆกันดู รถ Nissan หลายรุ่น จะมีปัญหาเรื่องหลังคาผุ จนกลายเป็นจุดด้อยไปด้วยซ้ำ







Cerfiro A31 กับประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:P></O:P]

ทำความเข้าใจกันก่อน


ก่อน อื่นขอทำความเข้าใจกันซักนิดและออกตัวไว้ก่อนว่า เรื่องที่เขียนนี้เป็นเพียงข้อคิดเห็นส่วนตัวจากที่เคยสัมผัสมาเท่านั้น เพราะบางท่านก็อาจจะเคยเจอเช่นเดียวหรือบางท่านก็อาจจะไม่เคยเจอหรืออาจจะ ยังไม่เคยรู้ถึงมันเลยก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละท่านครับ ผมก็เพียงแค่อยากถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังจากประสบการณ์เท่านั้น ไม่เคยคิดลบหลู่ดูหมิ่นหรือไปเทียบชั้นกับใครทั้งสิ้นนะครับ กรุณาใช้วิจารณยานของท่านเป็นเครื่องตัดสินใจ ความจริงผมก็คิดจะเขียนวิจารณ์รถเก่ามาตั้งแต่มีหัวข้อนี้แล้วแต่เนื่องจาก เวลาและโอกาสไม่เอื้ออำนวยและเรื่องบางอย่างหรือรายละเอียดส่วนใหญ่ผมก็ได้ พูดไปในกระทู้ที่ชมรมคนรักรถบ้างแล้ว และที่สำคัญก็คือในแต่ละรุ่นก็มีมืออาชีพหลายๆท่านได้เขียนวิจารณ์กันไปค่อน ข้างหนาตาแล้ว แม้จะมีบางท่านที่เคยเมล์มาเสนอแนะและสอบถามว่าทำไมผมจึงไม่เขียนวิจารณ์รถ เก่าบ้าง ซึ่งก็อย่างที่เรียนนั่นแหละผมเขียนในชมรมคนรักรถไปแล้วและท่านมืออาชีพทั้ง หลายก็เขียนถึงมันอยู่ไม่น้อยกว่า 5ท่าน ในแต่ละรุ่น ผมก็เลยไม่รู้จะเขียนอะไรเหมือนกัน แต่ก็มีหลายๆท่านที่อยากให้เขียน ก็เลยขอหยิบมาเขียนซักตัว แต่ข้อมูลอาจจะไม่สมบูรณ์เท่าไหร่เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องเวลาในการเขียน ครับและเป็นโอกาสดีที่ที่ช่วงนี้ชมรมคนรักรถปิดปรับปรุง(ตั้งแต่30-31/07/2003แต่ถึงวันนี้1/08/2003 ก็ยังเข้าชมรมไม่ได้)ก็เลยมีโอกาสขยับคีย์บอร์ด(ถ้าชมรมไม่ปิดปรับปรุงก็ไม่รู้จะได้เขียนหรือเปล่า) และ พยามนำเสนอในมุมมองที่ต่างออกไปจากท่านอื่นๆหรือมืออาชีพที่เคยเขียนวิจารณ์ กันไปแล้วเพื่อเพิ่มมุมมองบางส่วนเสริมเข้าไป และถ้ามีโอกาสเขียนวิจารณ์รถรุ่นอื่นอีกก็จะพยามปรับปรุงตามข้อเสนอแนะจาก ทุกท่านครับ <O:P></O:P]

นำเรื่อง


รถครอบครัวขนาดกลางที่แจ้งเกิดในวงการรถยนต์บ้านเราเมื่อปี90 ที่ฉีกแนวจากรุ่นอื่นๆโดยสิ้นเชิง ถึงจะผ่านไปกว่า 10ปี แล้วแต่มันยังคงความน่ามองอยู่ไม่เสื่อมคลาย ถ้าเทียบกับรถระดับเดียวกันปีเดียวกันในยุคนั้นอย่างแอคคอร์ด ณ วันนี้มันเหนือกว่ามาก และไปเทียบชั้นกับ 520ได้ อย่างสูสีใกล้เคียง หลายๆอย่างถูกบันทึกไว้ในความทรงจำเกี่ยวกับมันเช่น มียอดขายในอันดับต้นๆของเบสเซลเลอร์ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ได้รับรางวัลต่างๆมากมาย แถมช่วง 90-96 ก็มียอดรถรุ่นนี้หายหรือถูกโจรกรรมมากเป็นประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

การเปิดตัว


ในบ้านเรานั้นมีให้เลือกเล่นอยู่ 2 รุ่นคือ 12 วาล์ว 121 แรงม้า และ 24 วาล์ว 152 แรงม้า ต่างกันเฉพาะขุมพลังที่ตัว 24วาล์วมีมากกว่า ระบบเบรคที่เป็นดิสสี่ทั้งคู่แต่ตัว 24 วาล์วพ่วงABS มา ด้วย และก็ระบบเกียร์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย นอกจากนั้นก็เป็นออฟชั่นเล็กๆน้อยๆตามราคาที่เพิ่มลดและความต้องการของผู้ ซื้อ ที่มีขายในบ้านเราเนื่องจากมีความต้องการที่สูงกว่ากำลังการผลิตหลายเท่ารถ ที่นำมาขายจึงมีวิธีการประกอบที่แตกต่างกันออกไปมีทั้งนำเข้ามาทั้งคัน นำเข้าเป็นชิ้นส่วนมาประกอบในบ้านเรา และประกอบเองในบ้านเราซึ่งปัญหาก็จะมีแอบแฝงแตกต่างกันไปโดยเฉพาะตัวที่ดัด แปลงจาก 12วาล์วเป็น 24วาล์ว แต่ตัวที่ถือว่าทนทานที่สุดคือตัว 12วาล์ว



ขุมพลังและข้อมูลทางเทคนิค(บางส่วน)
Cerfiro 12 valves Cerfiro 24 valves
ระหัสเครื่องยนต์ RB 20 E RB 20 DE
แบบเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง OHC 6 สูบแถวเรียง DOHC
ปริมาณความจุ 1998 ซีซี
ขนาดกระบอกสูบ * ระยะชัก 78 ม.ม. * 69.7 ม.ม.
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ECI ชนิด Multi-Point Injection
อัตราส่วนกำลังอัด 9.5 ต่อ 1 10.2 ต่อ 1
แรงม้าสูงสุด (แรงม้า) 121 ที่ 5200 รอบ 152 ที่ 6000 รอบ
แรงบิดสูงสุด (กก.-เมตร) 17.6 ที่ 4400 รอบ 18.5 ที่ 5200 รอบ
ระบบขับเคลื่อน ล้อหลัง-เครื่องยนต์หน้า
อัตราทดเฟืองท้าย (ต่อ 1) 4.111 4.038
ระบบกันสะเทือนหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท ปีกนก
ระบบกันสะเทือนหลัง มัลติลิงค์ เพลาลอย
ความยาวตัวของรถ (ม.ม) 4690
ความกว้างของตัวรถ (ม.ม) 1695
ความสูงของตัวรถ (ม.ม) 1375
ความสูงใต้ท้องรถต่ำสุด (ม.ม) 150
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง (ลิตร) 65
น้ำหนักรถโดยประมาณ (ก.ก) 1290 1320
ความเร็วสูงสุด (ก.ม/ช.ม 5-5) 175 185
อัตราเร่ง 0-100 เมตร (วินาที) 13.2 12.4
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย (ก.ม/ล.) 6.0-12.5 5.0-11.5<O:P></O:P]

จุดเด่น

เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นในค่ายญี่ปุ่นที่สามารถทัดเทียมกับค่ายยุโรปในระดับเดียวกันอย่างไม่อายใครไม่ว่าจะเป็น 520/ 230Eหรือแม้แต่ 940 โดยทิ้งแอคคอร์ดชนิดไม่เห็นฝุ่น ที่ดูจะเป็นรองก็เฉพาะ 230E กับ940เฉพาะ ขนาดเท่านั้นเท่านั้น ส่วนอื่นๆจัดว่าสูสีทีเดียวไม่ว่าจะเป็นคุณภาพในการประกอบ ความแข็งแกร่ง ระบบความปลอดภัย การทรงตัวโดยเฉพาะการเทโค้งแรงๆที่ความเร็วจัดเกิน150ทำได้ดีชนิดขับหน้าบางรุ่นชิดซ้ายเลยทีเดียวและยังทำได้ดีกว่า940หรือด้อยกว่า520กับ 230Eก็แค่เล็กน้อย การออกแบบเน้นไปแนวยุโรปคือความทนทานเป็นหลักถ้าดูแลดีๆมันสามารถทะลุ 4-5 แสน กิโลเมตรได้อย่างไม่ยากเย็นเลยแบบแทบจะไม่ต้องยุ่งกับเครื่องยนต์เลย กับระบบช่วงล่างเพลาลอยขับหลังเป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องความอึดและสมบุกสมบัน ที่สุดแล้ว การใช้วาล์วไอดี-ไอเสียที่มีขนาดใหญ่ ก้านโตจึงหายห่วงเรื่องความทนทาน ประเก็นฝาสูบใช้แบบขอบเหล็กและเพิ่มระยะห่างของร่องระหว่างสูบจึงไม่ค่อยเจอ ปัญหาเรื่องประเก็นฝาสูบแตก ยิ่งตัวฝาสูบเองก็มีขนาดกว้างพิเศษแทบจะไม่พบเรื่องฝาสูบแตกหรือร้าว เลยอย่างดีก็แค่โก่ง ตัวกระเดื่องกดวาล์วออกแบบให้ มีขนาดใหญ่พิเศษเพื่อความทนทานแต่ทำจากอลูมินัมชั้นดีจึงลดน้ำหนักได้เป็น อย่างดีแถมลดเรื่องความดังของเสียงได้มาก เครื่องยนต์ที่เป็นเหล็กหล่อถึงจะน้ำหนักมากแต่การสึกหรอจะน้อยและทนทานดีมาก<O:P></O:P]

จุดด้อย


ที่ เห็นชัดก็จะเป็นในเรื่องของขนาดโดยเฉพาะห้องโดยสารที่ออกแบบมาเป็นรถขนาด กลางแบบครอบครัวแต่พกกลิ่นอายของความเป็นสปอร์ตมาด้วย ก็เลยจะอึดอัดพอสมควรสำหรับคนตัวใหญ่ๆเมื่อต้องขับขี่เดินทางไกลยาวๆ รูปทรงที่เตี้ยแถมหน้ายาวทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ในเมืองหรือการกะระยะทำ ได้ไม่ค่อยดี

ปัญหาที่พบ<O:P></O:P]


1. พวงมาลัยพาวเวอร์รั่ว-น้ำหนักพวงมาลัยไม่เท่ากันเบาบ้างหนักบ้าง-โช้คอัพรั่ว-ระบบควบคุมโช้คอัพไม่ทำงาน สาเหตุน่าจะมาจากระบบโซนาวิเคราะห์ปรับสภาพนำหนักของพวงมาลัยและความแข็ง-อ่อน ของโช้คไฟฟ้าเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวถนนอยู่เสมอแต่มันไม่เหมาะกับ สภาพถนนที่อาจจะเจอหลุมแล้วตามด้วยปลักควายกลางถนนอย่างแถวๆนี้ ทำให้การวิเคราะห์และสั่งการผิดพราดบ่อยๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากระบบรับ-ส่ง ข้อมูลสมัยนั้นยังเป็นแบบความเร็วต่ำอยู่ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์หรือสั่ง การได้ตามสภาพถนนจริง ไม่ใช่ว่าระบบมันไม่ดีแต่เป็นเพราะมันเหมาะที่จะวิ่งตามไฮเวย์ที่มีผิวถนน ไม่มีอุปสรรคแบบถี่ยิบอย่างถนนในบ้านเรา<O:P></O:P]

2. เกลียวหัวเทียนรูด-ปีน เกลียว อันนี้ท่านที่ครอบครองมันอยู่จะทราบดีว่าการถอดหรือใส่หัวเทียนของรุ่นนี้ทำ ได้ค่อนข้างลำบากเพราะมันอยู่ฝั่งของไอดี ถ้าไม่ระมัดระวังก็จะทำให้เกลียวเสียได้ง่ายๆแม้แต่รถที่เข้าศูนย์บริการ ประจำก็ยังเกิดปัญหานี้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเครื่องเดินไม่เรียบ กำลังตกและบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้น การแก้ไขนั้นค่อนข้างจะยุ่งยากเพราะอาจจะต้องตีปลอกหรือทำเกลียวใหม่เสริม เข้าไป<O:P></O:P]

3. เกียร์ออโต้เกิดปัญหาเมื่อใช้งานราว 15-20 หมื่น กิโลเมตร ทั้งการตอบสนองที่ไม่ดี จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไม่เป็นไปตามคำสั่งหรือบางทีก็ไม่ยอมเปลี่ยนเกียร์ ให้ สาเหตุเนื่องจากระบบควบคุมและรับ-ส่งข้อมูลคำสั่งในยุคนั้นอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงจาก 8บิต มาเป็น 16บิตและพึ่งจะเริ่มต้นยุค 16บิตทำให้ความสมบูรณ์ยังมีไม่มากพอที่จะรองรับการขับขี่แบบสปอร์ตหรือแบบเร้าใจได้ เมื่อใช้งานบ่อยๆจึงทำให้ระบบประมวลผลเกิดการรวน<O:P></O:P]

4. เครื่องยนต์มีเสียงวาล์วดัง เครื่องเดินไม่เรียบ แรงตก และแก้ไม่หาย สาเหตุเนื่องจากในตระกูลRB ใช้ระบบตั้งวาล์วอัตโนมัติแบบไฮโดรลิคลิฟเตอร์ ถึงแม้ที่ใส่ไว้จะมีความทนทานมากและบอกไม่ได้ว่าต้องถอดทำความสะอาดตอนไหน(ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณช่วง 15-20หมื่นโล) แต่ ต้องทำหรือถอดทำความสะอาดมันทันทีที่ได้ยินเสียงวาล์วดังซึ่งผู้ใช้ส่วนมาก จะไม่ทราบเรื่องนี้สุดท้ายก็จะกลายเป็นอาการถาวรของเครื่องที่แก้ไม่หาย โดยเฉพาะการออกรถทันทีขณะเครื่องเย็นโดยไม่มีการอุ่นเครื่องก่อนอันนี้ไม่ เกิน 10หมื่นโลรู้เรื่อง แต่ถ้าดูแลดีก็อย่างที่บอกบางคัน 4แสนโลแล้วเครื่องยังเดินเรียบ-เงียบและนิ่มอยู่เลย<O:P></O:P]

จุดอ่อนที่พบ


1. วาล์ว น้ำที่ติดอยู่กับตัวเสื้อทำมาจากเหล็กปั๊มขึ้นรูปจะมีอายุสั้นมากเกินไป ทั้งเสียเร็วทำให้เกิดการรั่วซึมของน้ำและผุง่ายทำให้น้ำหายออกจากระบบหรือ มีอากาศเข้าไปในระบบเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการไข้ขึ้นและฝาสูบโก่ง<O:P></O:P]

2. หัว นกกระจอกของชุดจานจ่ายเสียบ่อยทำให้เครื่องสตาร์ทติดยากโดยไม่ทราบสาเหตุ และฝาครอบจานจ่ายที่ทำมาจากฉนวนที่ไม่ทนทานต่อความร้อนจะพบว่าแตกร้าวบ่อยๆ ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งของเครื่องเดินไม่เรียบที่เป็นเส้นผมบังภูเขาโดยแท้ จริง<O:P></O:P]

3. ลูกรอกตัวตั้งสายพานไทมิ่งที่ออกแบบมาให้มีขนาดเล็กเกินไป(เพื่อรองรับกับสายพานที่ไม่ยาวมากแต่มีหน้ากว้างมากและขนาดใหญ่พิเศษ)การ เสียดสีจึงมีมากเพราะรอบจะค่อนข้างจัดมากทำให้ลูกรอกเสียเร็วและถ้าติดๆขัดๆ ก็จะส่งผลต่ออายุงานของสายพานไทมิ่งที่จะหดหายไปราวครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว และอาจจะพ่วงเรื่องความเสียหายเนื่องวาล์วคดมาด้วย<O:P></O:P]

4. ตาน้ำ ข้างเสื้อสูบที่มักจะผุออกมาจาดด้านในทำให้ยากต่อการสังเกต ต้องใช้การดูแลเอาใจใส่เรื่องระดับน้ำหล่อเย็นของผู้ครอบครองเป็นพิเศษ มิฉนั้นแล้วก็อาจจะเกิดปัญหาโอเวอร์ฮีต-ฝาสูบโก่งตามมา<O:P></O:P]

****ความจริงก็ยังมีปัญหาที่เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุโดยเฉพาะตัว 24วาล์วช่วง 92-94 แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการจึงขออนุญาตไม่กล่าวถึงนะครับ*****

ขุมพลังใหม่


อย่าง ที่เรียนไปแล้วว่าตัวนี้ไม่ได้ออกแบบเน้นไปทางความแรงแต่ส่วนมากจะนำมาใช้ แบบเน้นความแรงซึ่งอาจจพูดได้ว่าผิดวัตถุประสงค์ของมัน จึงทำให้สภาพเครื่องและระบบควบคุมส่วนมากจะโทรมมาก ส่วนมากจึงนิยมวางเครื่องใหม่ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เพราะเครื่องเซฟิโรจริงๆนั้นมีให้เล่นหลายตัวในตระกูลRB ดังนี้<O:P></O:P]

1. RB 20 DET DOCH 24V Turbo 205แรงม้า แทบจะพูดได้ว่าไม่ต้องดัดแปลงใดๆเลย<O:P></O:P]

2. RB 25 DE DOCH 24V 190แรงม้า จะมีปัญหาเรื่องขนาดเครื่องที่ยาวขึ้นซึ่งต้องดัดแปลงพวกท่อน้ำ-พัดลม และอาจจะต้องเพิ่มหม้อน้ำ<O:P></O:P]

3. RB 25 DET DOCH 24V Turbo 250แรงม้า ตัวนี้ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่เพราะราคาแพงไหนๆจะเสียเงินทั้งทีข้ามไป RB26 ที่แพงกว่ากันไม่มากดีกว่า<O:P></O:P]

4. RB 26 DETT DOCH 24V Turbo 280แรง ม้า ตัวนี้อาจจะต้องดัดแปลงกันมากหน่อยเพราะเดิมๆเป็นขับสี่เมื่อจะเอามาแค่ขับ สองก็เลยต้องลงไปเล่นระบบเกียร์ด้วยซึ่งค่อนข้างยุ่งยากและหาช่างทำไม่ค่อย ได้<O:P></O:P]

***การเลือกซื้อเครื่องในตระกูลRB เพื่อ เอามาวางในเซฟิโรควรสอบถามให้มั่นใจว่าเป็นเครื่องที่วางในเซฟิโรหรือสังเกต จากแคร้งค์น้ำมันเครื่องจะอยู่ด้านหน้าจะได้ไม่ต้องดัดแปลงอะไรอีก ที่สำคัญคือควรเลือกซื้อเครื่องที่ยังไม่ได้ตัดสายไฟคือทุอย่างยังครบปกติ และต้องเช็คให้แน่ใจว่าหมายเลขเครื่องเป็นหมายเลขเดียวกันกับกล่องควบคุมและ แอร์โฟล์ซึ่งจะง่ายในการติดตั้งและปรับแต่งครับ***<O:P></O:P]

ส่วนถ้าจะมองไปทางเครื่องยอดนิยมในหมู่วัยรุ่นในตระกูลJ ของพี่โตนั้นก็สามารถทำได้แต่อาจจะทำให้ราคารถร่วงกราวรูดทีเดียวแถมอาจจะมีปัญหาให้แก้ไม่รู้จบเหมือนกันเพราะเครื่องJ นั้นจะยาวกว่าตระกูลRB เมื่อนำมาวางจึงค่อนข้างเต็มและแน่น แถมต้องดัดแปลงพวกพัดลม-ท่อไอเสีย(อยู่คนละด้าน)-การตัดต่อเพลากลาง-แท่นเกียร์เป็นต้น และที่ลืมไม่ได้คือการเลือกเครื่องยนต์ก็เช่นเดียวกันกับตระกูลRB คือหาเครื่องที่มีแคร้งค์น้ำมันเครื่องอยู่ด้านหน้าเท่านั้น<O:P></O:P]

.........คง เขียนได้แค่นี้นะครับสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถซักเท่าไหร่อย่าง ผม เท่าที่นึกได้ตอนนี้ก็คงมีแค่นี้แต่ยังไงรุ่นนี้ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ราคาก็ อยู่ในช่วงต่ำกว่า 20หมื่นไปจนถึงเกิน 40หมื่น ตามสภาพและปีของรถ อย่ายึดถือสิ่งที่ผมกล่าวถึงเป็นบรรทัดฐานโปรดใช้ดุลยพินิจและวิจารณยานของ ท่านในการพิจารณาครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคำแนะนำและทุกความคิดเห็นครับ ถ้ามีโอกาสหรือเวลาที่มีเอื้ออำนวยก็จะพยามหารุ่นอื่นมาเขียนให้อ่านกันครับ.....แต่ ยังไงถ้าอยากคุยกับผมก็เชิญที่ชมรมคนรักรถครับเพราะผมจะเข้าที่นั่นค่อนข้าง สม่ำเสมอครับ ที่สำคัญที่สุดคือขอความกรุณาอย่านำสิ่งที่ผมเขียนไปเปรียบเทียบกับระดับมือ อาชีพที่เขียนๆกันไว้เลยนะครับเพราะผมคงมิบังอาจไปเทียบชั้นท่านเหล่านั้น ได้ครับ........

ที่มา http://dogkick.igetweb.com/?mo=3&art=336789<O:P></O:P]
 
แก้ไขล่าสุดเมื่อ:
เรื่องดีๆ สวยกระแสอีกเรื่อง

ออฟชั่นนอกนี้เพียบจริงๆนะครับ 12 วาล์วที่เคยครอง นี้มีทั้งครุย วิทยุปรับที่พวงมาลัย ไฟหน้าออโต้ ภายในน้ำตาล ทนจริงๆ หลังคาไม่ผุด้วย เฮ้อ

ไฟหน้าออโต้พึ่งเห็นมีมาใน เอสคราสตัวปัจจุบันครับ พวกนั้นฮื่อฮามา แต่ผมเฉยๆ
โช็คปรับไฟฟ้า เอสคราสหน้าเหยรายวพึ่งมีเช่นกัน ซ่อมไม่ได้ด้วย

ภูมิใจจริงเคยสัมผัสรถดีๆ อีกรุ่นจากอดีต
 
โชคดีที่รถเราหลังคาไม่ผุๆๆๆ:coolly-0028:
 
ขอบคุณออย กับ ป้อง เอาข้อมูลดีๆมานำเสนอ

จำได้ว่าตอนเป็นวัยรุ่น โคตรชอบเห็นรุ่นพี่แถวบ้านขับแต่งๆสวยมากสมัยก่อนนิยมโหลดเตี้ย มิติรถที่ยาวเรียวโหลดสวย ฝันไว้โตขึ้นต้องมีขับให้ได้

เหมือนวัยรุ่นสมัยนี้ที่ชอบรถซิ่งมีกำลังพอในงบสองแสนก็จะมองเป็นอันดับต้นๆ
 
กำลังอยากรู้ความจุถังน้ำมันอยู่พอดีเลย (65 ลิตรแน่ะ)

ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่แบ่งปันกันครับ
 
ขอบคุณพี่ออยมากเลยครับ
รถอะไรก็ไม่รู้อะไหล่แพงกว่าตัวรถสะอีก หลังคา กระจกปัดหลัง อุปกรณ์ภายใน ไฟท้าย ไฟหน้า ฯลฯ แต่ล่ะอย่างเหอ......ยังเราก็จะรักษามันไว้จะกว่าเราจะไม่มีแรงขับมันได้อ่ะน้า....
 
อื่มกำลังหา
ข้อมูลพอดี
พอดีครับ ขอขอบคุณมากครับน้าออย
ปล.เคยโดนถามลองภูมิ ว่ารักรถขนาดนี้รู้อะไรเกี่ยวกับมันมั่งเกิดปีไหน
มีกี่รุ้นยังพอบอกความแตกต่าได้ วันเกิดนี้ ผมกริบเลย
 
Nissan Cefiro A31: ตำนานซีดานหรูพ่วงโซนาร์หาปลา ไปๆมาๆกลายเป็นรถแข่งเฉยเลย
J!MMY : Cefiro A31 เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 13 มีนาคมปี 1990 ด้วยสโลแกน "ลีลาแห่งอนาคต" ถือเป็นรถยนต์ Nissan 1
ในหลายๆรุ่น ที่สร้างตำนานให้กับตลาดรถในเมืองไทยเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนจะนำมาขึ้นไลน์ประกอบในประเทศไทยเลยทีเดียว
เพราะแท้จริงแล้ว A31 เป็นรถที่ผลิตขึ้นมาเพื่อตลาดญี่ปุ่นเท่านั้น แต่คณะผู้บริหารไทยได้มีโอกาสยลโฉมมันและมองเห็นลู่ทาง
ในการทำตลาด จึงพยายามสุดความสามารถในการนำมันมาประกอบขายในไทยให้ได้ แม้จะได้ไฟเขียวให้กับคำขอนี้แล้ว
ทีมงานสยามกลการ ในยุคคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช อันมีกุนซือเป็น คุณประพัฒน์ เกตุมงคล พยายามงัดข้อกับ Product
Planning ของ Nissan ที่ญี่ปุ่นอย่างถึงพริกถึงขิง เพราะทางญี่ปุ่นเล่นแทงกั๊ก ให้เครื่องสเป็คเก่า RB20E บล็อก 6 สูบ SOHC
12 วาล์ว 2.0 ลิตร 121 แรงม้า (PS) มาให้ใช้ แถมจะไม่ให้ออพชั่นอะไรเลยมาด้วยซ้ำ ฝ่ายไทยเลยอัดกลับ ด้วยอารมณ์
ประมาณว่า "ถ้าจะให้ของเล่นมาแค่นี้ก็ไม่ต้องมาขายกันเลยดีกว่า" งัดข้อจนในที่สุดทางญี่ปุ่นก็ยอม และให้ของเล่นติดรถมา
มากขึ้น ซึ่งในภายหลังมันกลายเป็นจุดเด่นในการขายของรถรุ่นนี้ เช่นช่วงล่าง DUET-SS มีโซนาร์ซึ่งปรับช่วงล่างแข็ง-อ่อนได้
(รถ Mass Market ในบ้านเราไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน)
ตอนเปิดตัวมามีราคา 1 ล้านบาทเศษ แพงกว่ารถญี่ปุ่นขนาดเครื่องยนต์ และตัวถังใกล้เคียงกันเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังขายดีเป็น
เทน้ำเทท่า ถือเป็นรถรุ่นดังในเมืองไทย ณ ยุคสมัย ปี 1990 กันเลยทีเดียว ใครซื้อมาขับ เป็นต้องถูกเพื่อนร่วมถนนมองค้อน
จนเหลียวหลัง ยิ่งช่วงหลังปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ยิ่งราคาลดลงมาเหลือ 7 แสนปลายๆ ก็เลยยิ่งขายดีไปกันใหญ่ (ท่าม
กลางอารมณ์เสียใจ ปนเซ็ง ของคนที่ซื้อไปขับก่อนหน้านั้น) หลังจากนั้นในปี 1992 ก็มีรุ่น 24 วาล์วตามมาอย่างที่ว่าไว้ เสริม
ให้ว่ารถ 24 วาล์วนั้นไฟหน้าจะเป็นสีขาวจัดกว่า 12 วาล์ว กระจังหน้าจะเป็นแบบช่องเดียว และไฟท้ายก็จะมีรูปแบบไม่เหมือน
กับ 12 วาล์ว มีเบาะปรับไฟฟ้าด้านคนขับ พวงมาลัย 4 ก้าน และภายในหุ้มด้วยหนังสีดำ ปี 1994 มีการไมเนอร์เชนจ์ครั้งสุด
ท้ายโดยทั้งรุ่น 12 และ 24 วาล์วได้กระจังหน้าใหม่ และไฟท้ายที่เป็นสีแดงสดขึ้น พวงมาลัยเป็นแบบ 4 ก้านทั้ง 2 รุ่น ทำ
ตลาดต่อมาอีก 2 ปีก่อนจะถูกแทนที่ด้วย
 
พี่ที่เคยทำงานในนิสสัน สมัยนั้น

เค้าบอกว่า บ่อชุบกันสนิมในบ้านเรามีขนาดเล็กกว่าที่ญี่ปุ่น

เลยทำการชุบแบบเอียงรถเพื่อไล่ฟองอากาศไม่ได้

ต้องชุบลงไปตรงๆ(ตามบทความที่ป้องเอามาลงไว้)

แต่ไม่ใช่รถที่นำเข้าจะไม่ผุนะเออ
 
พี่ที่เคยทำงานในนิสสัน สมัยนั้น

เค้าบอกว่า บ่อชุบกันสนิมในบ้านเรามีขนาดเล็กกว่าที่ญี่ปุ่น

เลยทำการชุบแบบเอียงรถเพื่อไล่ฟองอากาศไม่ได้

ต้องชุบลงไปตรงๆ(ตามบทความที่ป้องเอามาลงไว้)

แต่ไม่ใช่รถที่นำเข้าจะไม่ผุนะเออ

ขนาดนำเข้ายังผุ ผมว่าโคตรซวยนะเออ
น่าจะหลังคาที่ปัญหาไ่จบนะน้าก้อง
ส่วนอื่นรับได้ ทำไม่แพง หลังคา จี๊ดทุกที
 
พี่ที่เคยทำงานในนิสสัน สมัยนั้น

เค้าบอกว่า บ่อชุบกันสนิมในบ้านเรามีขนาดเล็กกว่าที่ญี่ปุ่น

เลยทำการชุบแบบเอียงรถเพื่อไล่ฟองอากาศไม่ได้

ต้องชุบลงไปตรงๆ(ตามบทความที่ป้องเอามาลงไว้)

แต่ไม่ใช่รถที่นำเข้าจะไม่ผุนะเออ

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง :coolly-0033:

ขนาดนำเข้ายังผุ ผมว่าโคตรซวยนะเออ
น่าจะหลังคาที่ปัญหาไ่จบนะน้าก้อง
ส่วนอื่นรับได้ ทำไม่แพง หลังคา จี๊ดทุกที

จี๊ดจิพี่ ของผมเริ่มสิวแตกแล้ว :coolly-0042:
 

กรุณาปิด โปรแกรมบล๊อกโฆษณา เพราะเราอยู่ได้ด้วยโฆษณาที่ท่านเห็น
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see
ด้านบน