กรุณาปิด โปรแกรมบล๊อกโฆษณา เพราะเราอยู่ได้ด้วยโฆษณาที่ท่านเห็น
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see

ไม่รู้จะทำประกันชั้น 1 ที่ไหน? ถามเราสิค๊ะ/ลงประกาศขายกับเราวันนี้ ปักหมุดฟรี 3 เดือน

  • เริ่มกระทู้โดย เริ่มกระทู้โดย kook001
  • วันที่เริ่มกระทู้ วันที่เริ่มกระทู้
คนเกิดวันพฤหัสบดี

- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันพฤหัสบดี ห้ามใช้ ด ต ถ ท ธ น เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 7
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันเสาร์ เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันพฤหัสบดี

รถสีขาว
เสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วางใจ

รถสีแดง
เสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีเทา สีบรอนซ์
เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีฟ้า
เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีเขียว
เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีส้ม สีทอง
เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา

รถสีดำ สีม่วง สีน้ำเงิน
เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
 


คนเกิดวันศุกร์

- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันศุกร์ ห้ามใช้ ย ร ล ว เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 8 และเลข 7
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางคืน) เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันเสาร์
เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันศุกร์

รถสีเขียว
เสริมดวงให้คนเชื่อถือและไว้วางใจ

รถสีสีแดง สีทอง
เสริมดวงด้านความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน

รถสีแดง สีชมพู
เสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีเหลือง
เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีดำ
เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีน้ำตาล
เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีฟ้า สีน้ำเงิน
เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา

รถสีเทา สีบรอนซ์ สีม่วง
เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
 
คนเกิดวันเสาร์

- ตามหลักทักษาคนที่เกิดวันเสาร์ ห้ามใช้ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เพราะเป็นอักษรกาลกิณี
- เลขทะเบียนรถห้าม ไม่ให้มีเลข 4 และเลข 6
- ไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันพุธ (กลางวัน) เพราะเป็นกาลกิณีในวันเกิดและไม่ควรทำการมงคลต่างๆ ในวันศุกร์
เพราะเป็นวันคู่ศัตรูวันเกิด
- ถ้าจะออกรถ สีรถที่ควรเลือกใช้หรือสีรถที่ถูกโฉลก ของคนเกิดวันเสาร์

รถสีแดง
เสริมดวงให้คนยอมรับเชื่อถือและไว้วางใจ

รถสีชมพู
เสริมดวงให้ประสพผลสำเร็จได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ได้รับการส่งเสริม ในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน

รถสีน้ำเงิน สีฟ้า
เสริมดวงด้านความสงบปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

รถสีทา สีบรอนซ์
เสริมโชควาสนา เสริมวาสนาบารมี โชคลาภ ความโชคดี

รถสีทอง สีเหลือง
เสริมดวงด้านการแก้ปัญหา ไร้อุปสรรค ไร้ศัตรูและคู่แข่ง ชีวิตมีแต่ความสะดวก ราบรื่น

รถสีดำ สีม่วงแก่
เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา และศรัทธาในตัวเรา

รถสีเขียว สีแสด
เป็นสีต้องห้าม เพราะเป็น กาลกิณี หมายถึง โชคร้าย อัปมงคล ความเป็นเสนียด ศัตรูคู่แข่ง อุปสรรคในการดำเนินชีวิต
 
ประกันพ.ร.บ.เพิ่มคุ้มครอง 300%
25 กันยายน 2552


17 ปี คปภ.ปรับปรุงประกัน พ.ร.บ. 9 ครั้ง เพิ่มคุ้มครอง 300% ตาย จาก 100,000 บาทเป็น 200,000 บาท พร้อมลดเบี้ยอีก 100% รถเก๋งจาก 1,200 บาทเหลือ 600 บาท เตรียม ทำคู่มือจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นภายใน 7 วันและเอกสารที่ใช้เรียกร้องสิทธิ์แจกต่างจังหวัดต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด เผย 8 เดือนผู้ใช้สิทธิ์เบิกค่าเสียหายเบื้องต้นจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเพิ่ม 2 หมื่นรายเป็นลูกค้าสัมพันธ์ฯทั้งหมด คาดสิ้นปีกองทุนฯจ่ายสินไหมรวมไม่หนี 200 ล้านบาทเท่าปีก่อน

นางคมคาย ธูสรานนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและ ส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป คปภ.ได้ปรับเพิ่มความ คุ้มครองกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) กรณีผู้ประสบภัยเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวร หรือสูญเสีย อวัยวะจากเดิมที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด รายละ 100,000 บาท เป็นรายละ 200,000 บาทและยังเพิ่มความคุ้มครอง ค่าชดเชยรายวันให้แก่ผู้ประสบภัยจาก รถที่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเป็นวันละ 200 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 วัน
 
หนุ่ม...คนตกปลา
06 ตุลาคม 2552


หนุ่มคนหนึ่ง ทุกๆวันจะเห็นเขานั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่งหนองน้ำเป็นประจำ เมื่อสอบถาม เขาจะชี้แจงให้ฟังว่า เขาตกปลาเพื่อไปทำอาหารกินภายในครอบครัวของเขา ทุกคนในครอบครัวชอบรับประทานปลา เพราะคิดว่าปลาเป็นประโยชน์แก่ร่างกายมหาศาล ทำให้แข็งแรงสุขภาพดี ไขมันน้อยและบำรุง สมองทำให้ความจำดี เขาจึงต้องมานั่งตกปลาอย่างนี้ทุกๆ วัน

แต่คนที่ผ่านไปผ่านมาจะสังเกตเห็นว่า เขามีวิธีการแปลกๆในการตกปลา จนที่สุดผู้ผ่านไปมาคนหนึ่งจึงถามหนุ่มคนตกปลาว่า
 
ดูแลแบตฯพร้อมลุยฝน


โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 ตุลาคม 2552 15:53 น.


ช่วงหน้าฝนทีไร บรรดาคนขับรถทั้งหลายมักกังวลใจมากเป็นพิเศษ
ไหนจะต้องระมัดระวังเวลาขับรถวิ่งฝ่าสายฝน
เพราะถนนในช่วงเวลานี้มักจะลื่นซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดจากคราบน้ำมัน
ฝุ่นละอองต่างๆ ที่เกาะตามท้องถนน ปัญหาน้ำท่วม เวลารถเคลื่อนตัวแต่ละทีก็กลัวปัญหารถดับ
กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางก็ลุ้นกันอยู่หลายครั้ง การขับรถในช่วงฤดูฝนจึงต้องใส่ใจตรวดูความพร้อมของเครื่องยนต์และแบตเตอรี่อยู่เสมอ
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างเดินทาง

นายประกาสิทธิ์ พรประภา กรรมการ บริษัท สยามยีเอส แบตเตอรี่ จำกัด และบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด
ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ ภายใต้แบรนด์
 

ไฟล์แนบ

  • 552000013086801.jpg
    552000013086801.jpg
    52.2 KB · อ่าน: 51
  • 552000013086802.jpg
    552000013086802.jpg
    50.9 KB · อ่าน: 48
  • 552000013086804.jpg
    552000013086804.jpg
    44.1 KB · อ่าน: 50
เลขทะเบียนที่รถที่ถูกโฉลกตามหลักทักษา
สำหรับเลขทะเบียนรถ ซึ่งตัวเจ้าของรถเองก็ไม่สามารถเลือกเลขทะเบียนรถที่เราต้องการได้ และยังมีศาสตร์ตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมาย ถ้าหากเจ้าของรถที่มีทะเบียนรถที่มีตัวเลขที่ไม่ดีก็จะปัญหา ฉะนั้นจึงขอเอาศาสตร์หลักใหญ่ๆมาเกี่ยวข้องก็พอ
ตัวเลขในทะเบียนรถให้สังเกตจากเลขทะเบียนตัวสุดท้ายก็พอ
* อย่าให้เป็นตัวเลขที่เป็นบาปพระเคราะห์ คือ 1 , 3 , 7 , 8 ยกเว้นตัวเลขที่เป็นบาปพระเคราะห์เป็นเดช เป็นศรี และเป็นมนตรี ในวันเกิด
* เลขทะเบียนตัวสุดท้ายที่เป็นศุภะเคราะห์ ถือว่าดี เช่น 2 , 4 , 5 , 6 ยกเว้นตัวเลขเหล่านี้ ห้ามเป็นกาลกิณี ในวันเกิดของเจ้าของรถเช่น


คนที่เกิดวันจันทร์ ตัวเลขทะเบียนตัวสุดท้ายห้ามเป็นเลข 1
คนที่เกิดวันอังคาร ตัวเลขทะเบียนตัวสุดท้ายห้ามเป็นเลข 2
คนที่เกิดวันพุธกลางวัน ตัวเลขทะเบียนตัวสุดท้ายห้ามเป็นเลข 3
คนที่เกิดวันพุธกลางคืน ตัวเลขทะเบียนตัวสุดท้ายห้ามเป็นเลข 3 กับ 5
คนที่เกิดวันพฤหัสบดี ตัวเลขทะเบียนตัวสุดท้ายห้ามเป็นเลข 7
คนที่เกิดวันศุกร์ ตัวเลขทะเบียนตัวสุดท้ายห้ามเป็นเลข 8
คนที่เกิดวันเสาร์ ตัวเลขทะเบียนตัวสุดท้ายห้ามเป็นเลข 4
คนที่เกิดวันอาทิตย์ ตัวเลขทะเบียนตัวสุดท้ายห้ามเป็นเลข 6
 
คปภ.การันตี ประกันภัยปึ้ก สินไหมเพียบ

19 ตุลาคม 2009


คปภ.ยืนยันบริษัทประกันวินาศภัยจ่ายสินไหมคล่อง

น.ส.ชำเลือง ชาติสุวรรณ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทประกันวินาศภัยมีสภาพคล่องในการจ่ายสินไหมทดแทนอยู่ในระดับสูง จึงไม่มีปัญหาเหมือนในอดีต
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการใช้เกณฑ์การกำกับฐานะการเงินแนวใหม่ ที่มีการเตือนล่วงหน้าตั้งแต่ปลายปี 2551 และยังประจานผ่านเว็บไซต์ของคปภ.ที่ www.oic.or.th. หากมีการจ่ายสินไหมล่าช้ากว่าที่คปภ. กำหนด ทำให้บริษัทประกันภัยรายดังกล่าวเสียลูกค้าและขยายตลาดได้ลำบาก ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทประกันวินาศภัยกลัวมาก

สำหรับ 7 เดือนแรก บริษัทประกันวินาศภัยทั้งระบบมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าและ ผู้ประสบภัยจากรถรวมเป็นเงิน ทั้งสิ้น 3.13 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.48% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เบี้ยประกันภัย รับรวม 7 เดือนแรกมีทั้งสิ้น 6.25 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.78%

ขณะที่เงินกองทุนทั้งระบบมีจำนวน 5.29 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.68% มีสินทรัพย์รวม 1.46 แสนล้านบาท

น.ส.ชำเลือง เปิดเผยว่า ปัจจุบันคปภ.อยู่ระหว่างการทดสอบการดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง หรืออาร์บีซี โดยดูตัวอย่างของประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป แล้วนำมาปรับให้เหมาะสมกับสภาพธุรกิจประกันภัยของไทย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2554 แต่จะนำมาใช้แบบขั้นบันไดเพื่อให้มีเวลาปรับตัว

ที่มา:โพสต์ทูเดย์
 
ไม่ยากถ้าอยากดูแล"พรม"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 กันยายน 2552 14:15 น.



สำหรับท่านเจ้าของรถทุกท่านคงจะไม่มีใครปฏิเสธว่า การดูแลรักษาเครื่องยนต์และการทำความสะอาดรถเป็นประจำนั้น มีความสำคัญอยู่ไม่น้อย Motor Technic ในครั้งนี้ขอแนะนำวิธีการรักษาพรมในรถยนต์ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งทำได้ไม่ยาก

1. ขณะที่ท่านก้าวขึ้นรถควรขจัดสิ่งสกปรก เช่น โคลน ทราย กรวด หรือหินที่ติดมากับรองเท้าให้ร่วงหลุดไปบนพื้นถนนก่อนที่จะก้าวขึ้นรถ

2. ควรปัดหรือดูดฝุ่นอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งถ้าหากเจ้าของรถไม่สะดวกที่จะทำเองก็สามารถใช้บริการนี้ได้จากสถานนีบริการ ทั่วๆ ไป

3. ใช้แผ่นยางซึ่งมีขายอยู่ทั่วๆ ไปปูทับบนพื้นพรมบริเวณที่มักจะถูกรองเท้าสัมผัสบ่อยๆ เพื่อเป็นตัวรองรับกรวดทรายหรือฝุ่น ซึ่ง พรมรองเท้าหรือแผ่นยางนี้จะสามารถนำออกมาทำความสะอาดได้โดยสะดวก

อย่างไรก็ตาม ความสกปรกบนพื้นพรมมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ วิธีทำความสะอาดก็จะแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุแห่งความสกปรกที่อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีต่างๆ ดังนี้

1. ถ้าพรมเปียกน้ำเพียงเล็กน้อย ให้นำผ้าหรือกระดาษทิชชูมาซับน้ำออก นำรถจอดไว้กลางแดดโดยเปิดกระจกทิ้งไว้ ความร้อนจะช่วยทำ ให้พรมแห้งแต่ในกรณีที่น้ำเปียกพรมมาก ควรถอดเบาะนั่งออกก่อน หลังจากนั้นจึงถอดพรมออกมาซักแล้วผึ่งแดดจัดๆ เหมือนการตากผ้าทั่วไป เพียงแต่อาจต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 2 วัน หรือจนกว่าพรมจะแห้ง สนิท จึงนำเข้าที่ตามเดิม ซึ่งหากท่านไม่สามารถถอดอุปกรณ์ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง วิธีที่ดีที่สุด คือนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อให้ช่างที่ชำนาญถอดพรมออกซัก

2. พรมเปื้อนโคลนหรืออาเจียน การทำความสะอาดที่ถูกวิธีควรใช้อุปกรณ์ตักเซาะเอาเศษความสกปรกออก หลังจากนั้นใช้ผ้าแห้งที่สะอาดหรือกระดาษซับความเปียกชื้นออกไปจนหมาด ควรเช็ดจากวงนอกเข้าไปกลางจุดที่เปื้อนเพื่อป้องกันความสกปรกขยายวงกว้างออกไป ถ้าความสกปรกยังไม่หมดไปใช้แชมพูซักพรมฉีดบริเวณนั้น หากภาย ในรถของท่านยังมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ติดอยู่ ควรนำรถไปจอดกลางแดดที่ร้อนจัดปิดกระจกทุกบานไว้ประมาณ 2-5 ชั่วโมง จึงค่อยเปิดประตูรถให้ลมพัดผ่าน ความร้อนจากแสงแดดจะช่วยทำลายกลิ่นให้ จางลงหรือหมดไป หากยังไม่หายสนิทก็ทำซ้ำเช่นนี้อีกจนกว่ากลิ่นจะจางลงไป

3. หมากฝรั่งติดพรม การขูดเซาะออกขณะที่หมากฝรั่งอ่อนตัวทำได้ยาก เนื่องจากหมากฝรั่งจะเหนียวทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อพรมได้ และถ้าไม่ระวังหมากฝรั่งอาจจะเลอะเทอะกระจายเพิ่มขึ้น วิธีที่พึงปฏิบัติคือใช้ก้อนน้ำแข็งมาประคบที่หมากฝรั่งให้เย็นจนแข็งตัว จากนั้นก็ใช้ช้อนขูดออก จะทำให้หมากฝรั่งหลุดออกได้ง่ายขึ้น

4. พรมเปื้อนสารเคมี ในกรณีที่พรมเปื้อนสารเคมีที่เกิดจากน้ำยาทาเล็บ น้ำมันเครื่องหรือไขจาระบี การซักด้วยน้ำเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถล้างคราบของสารเคมีออกได้หมด เพราะจะมีความมันติดหลงเหลืออยู่ ควรใช้แชมพูสำหรับซักพรมโดยเฉพาะ มาทำการล้างออกทันทีก่อนที่สารเคมีเหล่านี้จะจับนาน ซึ่งอาจจะทำให้ล้างออกยาก

อย่างไรก็ตาม พรมก็มีคุณประโยชน์เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฉนวนป้องกันความร้อน ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานจะมีความร้อนจากเครื่องยนต์ ส่งผ่านไปยังท่อไอเสียที่ติดตั้งอยู่ใต้พื้นผิวรถ นอกจากนั้น ในเวลากลางวันผิวถนนที่ถูกแสงแดดเผาจนมีความร้อนสูงมาก เมื่อรถแล่นไปเหนือผิวถนนก็จะรับเอาความร้อนเข้ามาทางพื้นห้องโดยสาร ซึ่งพรมจะช่วยป้องกันความร้อนได้ระดับหนึ่ง

อีกทั้งยังช่วยควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสารให้คงที่ เนื้อพรมที่มีขนฟูสูงแต่ไม่ควบแน่นจะมีช่องอากาศอยู่ในตัว ทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่อมความร้อนและไม่ยอมให้ความร้อนผ่าน

จากคุณสมบัติเหล่านี้พรมจึงเป็นตัวช่วยควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสารให้คงที่ ซึ่งจะช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ทำให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ที่สำคัญช่วยซับเสียงรบกวนจากภายนอก เนื้อพรมที่มีลักษณะนุ่นหนาทำให้มีคุณสมบัติในการกั้น หรือต้านเสียงที่เกิดจากภายนอกห้องโดยสาร เช่น เสียงยางที่บดไปบนพื้นถนน เสียงเครื่องยนต์และเสียงรบกวนอื่นๆ ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความเพลิดเพลินในการใช้รถ
:coolly-0015:
 
โอเวอร์ฮีท!!...ป้องกันได้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2552 15:23 น.


 

ไฟล์แนบ

  • Image.jpg
    Image.jpg
    39 KB · อ่าน: 51
เช็คก่อนสตาร์ท เติมก่อนน็อค

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 เมษายน 2552 09:47 น.



วันหยุดสุดสัปดาห์ หลายคนวางโปรแกรมท่องเที่ยวกับครอบครัว หรือเพื่อนฝูง เพื่อเดินทางพักผ่อนตามต่างจังหวัด
 

ไฟล์แนบ

  • Image.jpg
    Image.jpg
    37.1 KB · อ่าน: 50
หมอนรองศีรษะ..สำคัญกว่าที่คิด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กันยายน 2551 11:16 น.


เทคโนโลยียานยนต์ในปัจจุบัน นอกจากความเร็ว แรง แต่ประหยัด และรักษาสภาพแวดล้อมแล้ว ความปลอดภัยก็เป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างความสนใจเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ท่ามกลางความร้อนระอุของการแข่งขัน

อุปกรณ์นิรภัยที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ ก็เพื่อผู้ขับได้รับความปลอดภัยสูงสุดจากอุบัติเหตุ เราเคยทราบถึงประโยชน์ของเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัยกันมาบ้างแล้ว รวมถึงเบาะนิรภัย ที่มีการติดตั้งในรถยนต์ราคาปานกลางถึงสูง แต่ยังมีอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่มีในรถยนต์ทุกระดับราคา แต่ยังมีการใช้งานกันไม่ตรงตามวัตถุประสงค์อย่างเต็มที่ อุปกรณ์นั้นคือ "หมอนพิงศีรษะ" (Head Rest)

ลักษณะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักเป็นการชนด้านหน้า แต่ยังมีรูปแบบการบาดเจ็บของกระดุกต้นคอที่เกิดจากการถูกชนด้านหลัง การถูกชนในลักษณะนี้อาจทำให้มีการฉีกขาดของเอ็นยึดกระดูกต้นคอ ทางการแพทย์เรียกว่า Whiplsh Injury ถ้ายังจำกันได้ถึงกลไกการบาดเจ็บของคอที่เคนเขียนถึง เมื่อเกิดการชนที่ด้านหน้า ถุงลมนิรภัยจะพองออกมารับศีรษะ ไม่ให้คอก้มลงมากเกินไปเนื่องจากแรงสะบัด ในขณะที่ลำตัวถูกเข็มขัดนิรภัยยึดไว้ นี่เป็นภาพที่เริ่มชินตากันจากโฆษณาต่าง แต่ในอีกมุมหนึ่งที่มีโอกาสเกิดได้ไม่น้อย คือ การถูกชนจากด้านหลัง
ถ้าถูกชนจากด้านหลังอย่างรุนแรง เท่ากับตัวรถยนต์หยุดนิ่ง แล้วมีแรงมากระทำให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างรุนแรงเกิดความเร่งขนาดสูงมากกระทำกับตัวรถยนต์ ความเร่งนี้จะถ่ายทอดมาที่เบาะ ทำให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง ในขณะที่ศีรษะที่มีความเฉื่อยอยู่ จะอยู่นิ่งในช่วงแรก
ผลรวมที่เกิดขึ้นจากการที่ลำตัวพุ่งไปข้างหน้าในขณะที่ศีรษะอยู่นิ่ง ทำให้เกิดการเงยคออย่างรุนแรง เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียง 0.2 วินาทีเท่านั้น ผลที่ตามมาคือ เอ็นยึดกระดูกคอฉีกขาด เกิดอาการปวดคออย่างรุนแรง ผลสุดท้ายคือต้องเสียเงินรักษาเสียเวลาทำงาน
อุปกรณ์ความปลอดภัยที่ใช้ได้ผลมาตลอด คือ คาดเข็มขัดนิรภัย ยังมีบทบาทสำคัญในการดึงลำตัวไว้กับเบาะ ไม่ให้พุ่งไปข้างหน้า อุปกรณ์สำคัญต่อมา คือ หมอนพิงศีรษะเพราะแม้ว่าลำตัวถูกยึดอยู่กับเบาะ แต่เบาะที่ยึดกับตัวรถยนต์ก็ยังพุ่งไปข้างหน้า ศีรษะที่ไม่มีอะไรรองรับก็ยังแกว่งไปข้างหลังอย่างแรงได้ แต่ถ้ามีหมอนพิงศีรษะมารับไว้ก็จะช่วยไม่ให้คอเงยมากเกินไปจนเกิดอันตรายขึ้น
ปัญหาที่ตามมาคือ ผู้ขับรถยนต์บางคนไม่ให้ความสำคัญกับการปรับหมองรองศีรษะ ให้เตรียมพร้อมรับกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ผู้ผลิตรถยนต์บางรายทราบถึงปัญหานี้ดี จึงออกแบบหมอนพงศีรษะแบบตายตัวไม่สามารถปรับได้ แต่อยู่ในตำแหน่งที่รองรับศีรษะเมื่อเกิดเหตุได้เป้นอย่างดี แต่ผู้ใช้รถยนต์บางคนอาจจะบ่นว่าหมอนที่ปรับไมได้ทำให้พิงแล้วไม่สบายคอ
ผู้เชี่ยวชาญทางอุบัติเหตุท่านหนึ่ง ได้เขียนถึงเรื่องนี้ไว้อย่าวงน่าสนใจว่ายังมีความเข้าใจผิดกันมากเกี่ยวกับ Head Sest นี้ แม้จริงแล้วหมอนพิงศีรษะมีชื่อจริงว่า Head Restraint ถ้าเมื่อดถูกใช้เป็นหมอนพิงศีรษะก็จะผิดจุดประสงค์ทันที เพราะถูกออกแบบมาให้เป็นตัว Restraint หมายถึง ให้การปกป้องต่อศีรษะและคอ ถ้าถูกปรับลงมาเพื่อให้หนุนคอสบายจะกลายเป็นจุดหมุนของต้นคอทันที นั่นคือศีรษะจะสะบัดไปด้านหลัง โดยมีหมอนพิงศีรษะค้ำที่ต้นคอ ให้ศีรษะสะบัดไปข้างหน้า-หลังได้ดีและแรงยิ่งขึ้น
จากการทดสอบพบว่า ความสูงของหมอนพิงศีรษะอย่างน้อยที่สุดต้องไม่ต่ำกว่าระดับเหนือใบหู และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า หมอนรองศีรษะในรถยนต์หลายรุ่นจะออกแบบมาให้เอนมาด้านหน้า การตรวจสอบตำแหน่งง่ายๆคือถ้าพิงพนักเต็มที่แล้ว ศีรษะด้านหลังส่วนที่เป็นกระโหลกแข็งๆ สัมผัสกับหมอนพิงศีรษะพอดี แสดงว่าปรับได้ตำแหน่งที่ถูกต้อง ถ้าพิงไปแล้วหมอนมารับท้ายทอยอย่างสบายเท่ากับว่าหมอนต่ำเกินไป
อุปกรณ์ใช้ร่วมกันเสมอ คือ เข็มขัดนิรภัย ถ้าปรับหมอนดีแต่ตัวพุ่งไปข้างหน้าก็ไม่มีปาระโยชน์อะไร นอกจากนี้"ซาบ" ก็ยังมีการพัฒนาหมอนพิงศีรษะที่เรียกว่า Protech นี้จะพุ่งมาข้างหน้าทันทีที่พนักพิงกระแทกกับแผ่นหลังช่วยยันศีรษะไม่ให้หงายไปด้านหลังอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่ออุปกรณ์นิรภัยต่างๆ ถูกแนะนำขึ้นจากจำนวนผู้เสียชีวิตก็ลดลงจำนวนผู้บาดเจ็บก็มากขึ้น และการเรียนรู้รูปแบบของการบาดเจ็บแบบต่างๆก็ทำให้มีการสร้างอุปกรณ์นิรภัยใหม่ๆตามออกมา เป้าหมายของผู้ผลิตเหล่านี้คือ ทำให้รถยนต์มีความปลอดภัยสูงสุด แบบนี้แล้วเวลาขึ้นรถอย่าลืมปรับตำแหน่งของหมอนพิงศีรษะให้ถูกต้อง เพราะจุดเล็กๆที่หลายคนมองข้ามนั้นอาจจะหมายถึงชีวิตทั้งชีวิตเลยก็ได้
 

ไฟล์แนบ

  • Image2.jpg
    Image2.jpg
    23.7 KB · อ่าน: 46
  • Image.jpg
    Image.jpg
    25.2 KB · อ่าน: 49
เบรก....ทันไหม?

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 มิถุนายน 2551 12:40 น.



นักขับรถยนต์หลายท่านทราบดีว่ารถยนต์นั้น เมื่อเหยียบคันเร่งแล้วรถยนต์จะแล่นได้ในความเร็วที่สมรรถนะของรถนั้นๆมีอยู่และขึ้นอยู่กับความ "ใจถึง" ของผู้ขับเป็น

ส่วนประกอบ แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่ารถยนต์ที่แล่นด้วยความเร็ว 100 กม./ชม.ขึ้นไปนั้นจะหยุดได้ในระยะกี่เมตร คำตอบก็คือ....ไม่รู้อาศัยคาดเดาจากสายตาและความ

รู้สึก ซึ่งทำให้เกิดอุบัติเหตุมานักต่อนักแล้ว
ก่อนจะทราบว่ารถที่แล่นด้วยความเร็วขนาดนี้จะหยุดได้ในระยะกี่เมตรนั้น คุณควรทราบเสียก่อนว่ารถยนต์ที่แล่นอยู่นั้นก่อนที่จะหยุดลงได้จะต้องผ่านกระบวนการ 2 ขั้น

ตอนคือ

1 ระยะคิด (Thinking Distance) ระยะนี้เป็นระยะที่สายตาของผู้ขับจะสามารถมองเห็นว่ามีเหตุการณ์อันตรายเกิดขึ้นข้างหน้า สายตาที่เห็นจะส่งข้อมูลไปยัง

สมองและสมองจะสั่งให้เท้าเหยียบเบรกแทนคันเร่ง แต่ถึงกระนั้นรถก็ยังจะแล่นไปได้อีกหลายเมตร ซึ่งเราเรียกว่า "ระยะคิด" ซึ่งจะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้ขับขี่ว่าร่าง

กายมีการตอบสนองที่เร็วแค่ไหน บางคนช้า บางคนเร็ว นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสมาธิในการขับมาเกี่ยวข้องด้วยเนื่องจากบางคนมัวทำหลายสิ่งหลายอย่างไปพร้อมๆกันทำ

ให้สมองต้องแยกแยะไปควบคุมร่างกายหลายส่วนประสิทธิภาพในการเบรกจึงน้อยลงตามไปด้วย
2 ระยะเบรก (Braking Distance) ระยะนี้คือ เมื่อเท้าแตะที่กระเดื่องเบรกซึ่งรถก็ยังไม่หยุดทันทีเพราะรถยังจะเลียระยะทางไปเรื่อยๆขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้นใช้ความ

เร็วเท่าใด
ดังนั้น การที่เราจะหยุดรถจึงต้องผนวก 2 ขั้นตอนเข้าด้วยกัน นอกจากนี้คุณควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับเบรกอีกเล็กน้อยว่า "เบรกนั้นหยุดล้อ ส่วนล้อนั้นหยุดรถ" เพราะ

ฉะนั้นหากจะหยุดรถได้ขั้นแรกต้องเบรกจะต้องดี เพื่อให้ล้อสามารถหยุดรถได้ เมื่อผู้ขับร่างกายสมบูรณ์ เบรกดี ล้อดี และสภาพพื้นถนนดี แล้วรถที่ขับมาด้วยความเร็วตั้งแต่

100 กม./ชม. จะสามารถหยุดได้ในระยะ 100 เมตร นั่นเอง และถ้ามีสิ่งขีดขวางในระยะดังกล่าวอยู่คุณแทบจะไม่สามารถหลบได้เลย
ในความเป็นจริงทุกวันนี้คนส่วนมากจะขับรถด้วยความเร็วมากกว่า 100 กม./ชม.อยู่แล้ว ด้วยสมรรถนะของรถ ถึงแม้ว่าตามกฎหมายจะกำหนดความเร็วไว้ที่ประมาณ

90 กม./ชม.ก็ตามที แต่ที่คุณไม่ขับรถชนสิ่งขีดขวางหรือเกิดอุบัติเหตุในระยะการเบรกนั้นเพราะว่าสิ่งขีดขวางเหล่านั้นหลบเราหรือเราเป็นฝ่ายหักหลบไปเองเท่านั้น ซึ่งไม่

ได้หมายความว่าคุณโชคดีเสมอไป เพราะฉะนั้นในการขับรถครั้งต่อๆไปพึงระลึกไว้เสมอว่าขับเร็วมากเท่าไหร่ก็ต้องคิดถึงระยะเบรกไว้มากเช่นกัน.....
 

ไฟล์แนบ

  • Image.jpg
    Image.jpg
    44 KB · อ่าน: 47
  • Image11.jpg
    Image11.jpg
    24.2 KB · อ่าน: 47

มาเช็ครถหลังฝนกันเถอะ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กันยายน 2550 12:08 น.



ฤดูฝนที่ผ่านมาและกำลังจะผ่านไป ทำให้ฝนตกไม่เว้นแต่ละวัน บางครั้งเพิ่งล้างรถออกมาใหม่ๆฝนเจ้ากรรมก็ดันตกลงมาเหมือนตั้งใจแกล้ง ทำให้รถยนต์ของเราได้เจอปัญหาเวลาลุยน้ำโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ผู้ใช้รถยนต์จึงจำเป็นที่จะต้องดูแลตรวจเช็คซ่อม และเปลี่ยนอะไหล่ในส่วนที่เสียหายหลังจากที่ต้องผจญกับฝนมาตลอด
 

ศูนย์บริการ vs อู่ซ่อม : จะเลือกที่ไหนดี?

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 สิงหาคม 2550 11:00 น.



รถยนต์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างด้วยวัสดุที่ทนทานแข็งแรงและมีคุณภาพนั้นก็จริงอยู่ แต่ด้วยการใช้งานของแต่ละคนและสภาพท้องถนนนั้นจึงทำให้รถของคุณป่วยได้ และเราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการซ่อมได้ ซึ่งหลายคนก็มีหลากหลายวิธีในการซ่อมรถตั้งแต่ขั้นซ่อมเอง (กรณีเป็นไม่มาก) จนถึงต้องเอาเข้าศูนย์หรือเข้าอู่ แต่จะทำอย่างไรให้ซ่อมได้อย่างคุ้มค่าที่สุด "ผู้จัดการ มอเตอริ่ง" มีทางเลือกของการซ่อมมาให้ลองพิจารณาดูกัน

รถยนต์ใหม่....ต้องเข้าศูนย์บริการ

รถยนต์ป้ายแดงทุกรุ่นต้องมีการรับประกันคุณภาพในขอบเขตที่เหมาะสมเช่นความบกพร่องของอุปกรณ์ ความเสียหายอย่างผิดปกติจากการผลิตหรือประกอบโดยมีการยกเว้นการใช้งานผิดประเภทหรืออุปกรณ์ที่ต้องเสื่อมสภาพ ผู้ประกอบการแต่ละรายกำหนดระยะเวลารับประกันคุณภาพแตกต่างกันออกไปหรือแม้แต่รถยนต์ยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างรุ่นหรือรุ่นเดียวกันแต่ในช่วงเวลามีข้อเสนอส่งเสริมการจำหน่ายอาจมีเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพที่แตกต่าง เช่น บางรายรับประกันคุณภาพถึง 2 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร และเตรียมงบไว้ครอบคลุมถึงชิ้นส่วนที่สึกหรอ เช่น ยาง ผ้าเบรก ฯลฯ

หากยังอยู่ในระยะรับประกันควรนำรถยนต์เข้ารับบริการตรวจสอบสภาพและดูแลที่ศูนย์บริการเท่านั้น เพื่อให้การรับประกันยังครอบคลุมอยู่ การนำรถยนต์ไปซ่อมนอกศูนย์บริการ อาจทำให้การรับประกันในทุกกรณีถูกยกเลิก รวมถึงการละเลยไม่ยอมนำรถเข้าศูนย์บริการตรงตามเวลาที่กำหนดเช่น ทุก 3,000 - 5,000 กิโลเมตร ก็อาจจะถูกยกเลิกการรับประกันเช่นเดียวกัน

ผู้ที่ใช้รถยนต์ใหม่และยังอยู่ในระยะรับประกัน จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัดและถ้ามีปัญหาในการใช้งานเช่น รถยนต์เสียกลางทางสามารถให้ช่างทั่วไปซ่อมแซมเบื้องต้นได้แต่ห้ามเปลี่ยนอุปกรณ์หลักโดยเด็ดขาด รวมถึงการเปลี่ยนอุปกรณ์ตกแต่งเพราะมีผลต่อการรับประกันคุณภาพโดยตรง เช่น การโมดิฟายด์เครื่องยนต์อาจทำให้มีผลต่อเนื่องไปยังอุปกรณ์อื่นด้วย

เมื่อหมดระยะรับประกันคุณภาพแล้ว อาจปรับการดูแลรักษารถยนต์ได้ เช่นใช้บริการในศูนย์บริการเช่นเดิม หรือไม่ก็หาอู่มาตรฐานหรือบางคนอาจจะเป็นอู่เล็กๆซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันออกไป
 

กรุณาปิด โปรแกรมบล๊อกโฆษณา เพราะเราอยู่ได้ด้วยโฆษณาที่ท่านเห็น
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see
ด้านบน