กรุณาปิด โปรแกรมบล๊อกโฆษณา เพราะเราอยู่ได้ด้วยโฆษณาที่ท่านเห็น
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see

ทำประกัน 2+,3+ ราคาเริ่มต้นที่ 6,500 บาท จ่ายสด ฟรี พรบ

  • เริ่มกระทู้โดย เริ่มกระทู้โดย kook001
  • วันที่เริ่มกระทู้ วันที่เริ่มกระทู้
**จอดรถในบ้าน....ใช่ว่ารถจะไม่หาย**

บางคนคิดว่าจอดรถในบ้านนั้นปลอดภัยที่สุดเพราะอยู่ในรั้วบ้านของเราเอง แต่น่านล่ะอันตรายเพราะคุณไมได้นอนเฝ้ารถตลอดเวลา แล้วเวลากลางคืนก็เป็นฤกษ์งามยามดีในการออกโจรกรรมรถตามบ้าน

เพราะฉะนั้นการจอดรถในบ้านก็ต้องมีวิธีในการรักษาความปลอดภัยแบบง่ายๆ ก็คือจอดรถในบ้านต้องเอาท้ายรถออกนอกบ้าน ล็อครถและใช้อุปกรณ์กันขโมย หรือติดตั้งโคมไฟให้ส่องสว่างให้มองเห็นทั้งในและนอกรั้วบ้านหากจำเป็นต้องจอดรถนอกบ้าน ควรจอดชิดขอบทางหน้าบ้าน ให้มองเห็นได้ ลงจากรถและก่อนขึ้นไปนอนก็ต้องดูว่าล็อคกุญแจและอุปกรณ์กันขโมยเรียบร้อยแล้วแน่นอน

หากมีความจำเป็นต้องจอดรถยนต์ไว้บนถนนหน้าบ้าน ควรมียามรักษาความปลอดภัยเฝ้าดูแลรถตลอดเวลาโดยประสานความร่วมมือกับเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่ใช้รถ ละจอดรถไว้ในลักษณะเดียวกัน เพื่อช่วยเหลือกันในเรื่องค่าจ้างของยามรักษาความปลอดภัย

**จอดรถในห้าง...สารพัดอันตราย**

หลายคนอาจจะเข้าใจว่าจอดรถในห้างสรรพสินค้านั้นแสนจะสบายมีคนคอยดูแลตลอดเดินช็อปปิ้งกันเพลิดเพลิน แต่คุณคิดผิดเพราะด้วยบรรยากาศในลานจอดรถที่ทั้งมืดและเงียบทำให้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง จริงอยู่ว่าทุกห้างนั้นมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแล แต่คุณต้องจำไว้ว่ารถนั้นมีเป็นพันๆคันเข้าออกในแต่ละวันเจ้าหน้าที่ไม่มีทางดูแลได้ทั่วถึง ซึ่งเป็นช่องทางให้คนร้ายเข้ามาทำการขโมยรถเราได้อย่างง่ายดาย

เช่นเดียวกับวิธีล่าสุดที่ใช้กับรถที่จอดในห้างก็คือเอากระดาษหนังสือพิมพ์กับกาวไปแปะไว้ที่กระจกหลังรถ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เอะใจอะไรพอเปิดรถสตาร์ทเครื่อง ช่วงที่กำลังจะถอยออกก็มองไม่เห็นจำเป็นต้องลงจากรถมาดึงกระดาษออก ที่นี้แหละพวกโจรก็ย่องขึ้นรถที่สตาร์ทอยู่ขับออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระเป๋าเงินที่วางไว้ในรถ

หรือวิธีเดิมๆที่ใช้กันมานานแล้ว แต่ก็ยังหลอกเจ้าของรถมือใหม่อยู่ได้เสมอๆ นั่นก็คือการเอาก้อนหินหรือว่าวัสดุอะไรก็ตามทีมีวางไว้ที่ล้อหลังของรถเมื่อเจ้าของเดินมาก็ไม่ทันสังเกตเห็น (อีกตามเคย)ก็ต้องลงมาดูตอนที่จะถอยรถแล้วทีนี้ก็เข้าล็อกของพวกนี้เลย

วิธีแก้ไขหรือป้องกันนั้นไม่ยากเพียงแต่คุณต้องทำให้เป็นนิสัยก็คือก่อนออกรถหรือเมื่อมาถึงรถอย่ามัวแต่กังวลว่าจะต้องจัดของใส่รถหรือแต่งตัวแต่งหน้า

โดยเฉพาะคุณผู้หญิงทั้งหลาย แต่คุณควรสังเกตว่ามีอะไรผิดปกติกับของคุณหรือไม่ทั้งด้านหน้ารถและหลังรถถ้าพบว่ามีอะไรที่ผิดแปลกไปก็ให้เรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ใกล้ที่สุดมาช่วยดู อย่าดูเพียงลำพังเพราะคนร้ายก็กำลังหาช่วงเวลาที่คุณเผลออาจจะเข้ามาทำร้ายได้

**รถใหม่ - รถเก่าก็ต้องเอาใจใส่เท่ากัน**

หากคุณมีรถใหม่ควรติดตั้งอุปกรณ์กันขโมยเพิ่มเติม เช่น เปลี่ยนกุญแจใหม่ ติดตั้งชุดล็อคเกียร์ ล็อคครัช ล็อคพวงมาลัย และสัญญาณกันขโมย คนร้ายชอบขโมยรถใหม่ๆ เนื่องจากขายต่อได้ง่ายมีราคาสูงโดยเฉพาะบรรดารถยอดนิยมต่างๆ อาทิ รถปิคอัพ รถขับเคลื่อน 4 ล้อ และรถเก๋งรุ่นใหม่ๆ เมื่อเจ้าของรถได้รถมาใหม่มักยังไม่ติดตั้งอุปกรณ์กันขโมยเมื่อจอดไว้ในที่ไม่ปลอดภัยคนร้ายฉวยโอกาส โจรกรรมรถไปได้โดยง่ายๆ

หรือเมื่อคุณจะตกลงซื้อรถเก่าจากเจ้าของหรือจากผู้ขายตามเต็นท์ขายรถต้องขอหมายเลขเครื่องหมายเลขตัวถังและสำเนาทะเบียนรถ มาตรวจสอบกับทะเบียนรถในท้องถิ่นที่รถนั้นจดทะเบียนไว้เสียก่อนเพราะอาจเป็นรถที่ไม่ถูกต้องหรือขโมยมาสวมทะเบียน เมื่อซื้อรถมาแล้วควรต้องเปลี่ยนกูญแจและติดตั้งอุปกรณ์กันขโมยเช่นเดียวกับรถใหม่พึงระมัดระวั ระลึกอยู่เสมอว่าคนร้ายจ้องรอโอกาสขโมยรถของคุณอยู่
 


**กุญแจรถ เรื่องสำคัญ**

มีรถบางชนิดใช้กุญแจรถดอกเดียวกันสำหรับเปิดประตูติดเครื่องยนต์เปิดลิ้นชักและฝาน้ำมัน ดังนั้นเมื่อฝาน้ำมันหายอาจเป็นไปได้ว่าคนร้ายได้นำไปเพื่อทำแบบสร้างกุญแจปลอมสำหรับ นำมาใช้ใน การโจรกรรม ฉะนั้นหากฝาถังน้ำมันหายควรรีบเปลี่ยนกุญแจที่ใช้กับรถเสียใหม่โดยใช้ กุญแจที่ใช้ เฉพาะแห่งเท่านั้น และเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ


**ระวัง การใช้อุปกรณ์กันขโมย**

เมื่อติดตั้งอุปกรณ์กันขโมยแล้วการใช้อุปกรณ์ต้องเก็บเป็นความลับเฉพาะผู้ที่ไว้ใจได้เพราะอุปกรณ์ บางอย่างใช้รหัสเฉพาะหรือสัญญาณรีโมทการไปจอดรถในที่ต่างๆจึงควรระวังคนร้ายอาจคอยสังเกตวิธีการใช้อุปกรณ์กันขโมยของท่านและติดตามไปหาโอกาสโจรกรรมรถของคุณในภายหลัง


**รถคุณถูกติดตามจะทำอย่างไร**

กรณีสังเกตรู้ว่ามีผู้ขับรถติดตามรถท่านให้สันนิษฐานว่าเป็นคนร้ายไว้ก่อนเพราะอาจตามไปฉวยโอกาสขโมยรถเมื่อคุณจอดรถทิ้งไว้ในที่ไม่ปลอดภัยหรืออาจประทุษร้ายต่อชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของคุณ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าถูกติดตามจึงควรป้องกันโดยพยายามขับรถเข้าไปในเขตชุมชน ขอความช่วยเหลือและแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใกล้ที่สุดโดยด่วน

**จดจำตำหนิรูปพรรณ**

คุณควรจดจำข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับรถของคุณไว้ให้มากที่สุดโดยเฉพาะตำหนิรูปพรรณพิเศษอื่นๆโดยถ่ายเอกสารทะเบียนรถเก็บไว้รวมทั้งถ่ายรูปรถของคุณให้ปรากฏรอยตำหนิพิเศษ เก็บรักษาไว้เป็นหลักฐานกรณีรถหายจะได้นำมาแจ้งให้ตำรวจตรวจสอบสกัดจับได้อย่างรวดเร็วทันการณ์หากรถของคุณยังไม่มีตำหนิ ควรทำขึ้นไว้ในจุดที่ผู้อื่นไม่สามารถสังเกตเห็นและจดจำไว้ให้แม่นยำ


**รถจักรยานยนต์ต้องล็อคล้อล่ามโซ่**
 

ค่า K ของสปริงรถยนต์คืออะไร

ค่า k ของสปริงรถยนต์คือค่าความแข็งของ ขดสปริงรถยนต์หรือคอลย์สปริง ที่ใช้ในระบบรองรับน้ำหนักรถยนต์

สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ เมื่อทำการออกแบบระบบรองรับน้ำหนักรถยนต์ วิศวกรจะต้องกำหนดค่า k ของคอลย์สปริงให้เหมาะสมกับการใช้งานและน้ำหนักของรถยนต์ เพื่อให้ได้สมรรถนะการขับขี่และยึดเกาะถนนที่ดี รวมถึงการทรงตัว และความนุ่มนวลในการขับขี่ โดยสอดคล้องกับการใช้งานจริง

รถยนต์ในแต่ละยี่ห้อจะมีค่า k ที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้ในรถบางรุ่นที่ใช้ตัวถังเดียวกัน แต่ต้องดูว่ามีอะไรแตกต่างกันบ้าง เช่น ขนาดของเครื่องยนต์ ตำแหน่งการจัดวางเครื่อง การออกแบบระบบขับเคลื่อน ระบบกันสะเทือน น้ำหนักรถยนต์รวมทั้งความสามารถในการรับน้ำหนักบรรทุกขณะใช้งาน

ค่า k ของสปริงแข็ง เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูง จะช่วยให้ยึดเกาะถนนทรงตัวดี แต่หากใช้กับการใช้งานทั่วไปที่ความเร็วต่ำจะขาดความนุ่มนวลไปบ้าง แต่ก็ขึ้นกับปัจจัยอื่นประกอบ

ค่า k ของสปริงอ่อน เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานในความเร็วต่ำๆ ซึ่งจะให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ แต่เมื่อใช้ความเร็วสูงๆ จะทำใหรถมีอาการโยนตัวหรือโคลงได้

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า หลายคนเมื่อซื้อรถยนต์ใหม่ก็อยากที่จะไปตกแต่งระบบกันสะเทือนใหม่ โดยใช้วิธีเปลี่ยนล้อ เพิ่มขนาดล้อ ดัดแปลงคอลย์สปริงด้วยการตัดหรือเปลี่ยนใหม่ แม้กระทั่งยกชุดเปลี่ยนโช้คอัพใหม่ทั้ง 4 ตัว ตามร้านประดับยนต์ทั่วไป

ดังนั้น หากผู้ใช้รถมีความประสงค์ที่จะดัดแปลงระบบช่วงล่างให้แตกต่างจากโรงงานกำหนด ควรคำนึงถึงค่า k ว่าเหมาะสมกับการใช้งานจริงหรือไม่ หรือสอบถามผู้ที่ชำนาญก่อนตัดสินใจ
 

ไฟล์แนบ

  • Image.jpeg
    Image.jpeg
    16.5 KB · อ่าน: 54

การขับอย่างปลอดภัยบนทางด่วน

การขับขี่รถบนทางด่วนดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผู้ใช้รถในปัจจุบัน เพราะทุกวี่วันก็ใช้บริการทางด่วนอยู่แล้ว หรือเป็นเรื่องที่ผู้อ่านรู้อยู่แล้วแต่ไม่ได้ใส่ใจ แต่ใครจะรู้บ้างไม่ว่าเกร็ดความรู้

เล็กๆ น้อยๆ ที่ จะมานำเสนออาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้รถบ้างหากเกิดอุบัติจริง ๆ หรืออย่างน้อยก็เป็นความรู้ที่ผู้ใช้รถเป็นพาหนะคู่กายควรจะรับรู้ไว้ซึ่งก็ไม่เสียหายอะไร

ข้อควรจำในการใช้ทางด่วน โดยหลักการแล้ว การขับรถบนทางด่วนจะง่ายกว่าการขับรถบนท้องถนนธรรมดา เนื่องจากไม่มีสี่แยกและไม่มีรถวิ่งสวนมา แต่ด้วยเป็นการขับบนทางด่วน

ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง หรือโศกนาฎกรรมอันใหญ่หลวงได้

ลักษณะเฉพาะของอุบัติเหตุบนทางด่วน ส่วนใหญ่จะเป็นอุบัติเหตุชนกัน หรืออุบัติเหตุเดี่ยว (รถคันเดียว) การขับรถบนทางด่วน การเตรียมการล่วงหน้าดังต่อไปนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก


1.วางแผนขับรถอย่างสบาย ๆไม่รีบร้อน
เมื่อขับรถบนทางด่วนในระยะทางยาว ๆ ผู้ขับเพียงแต่เหยียบคันเร่งเพียงอย่างเดียว จึงสามารถทำให้ง่วนนอนได้ ความระมัดระวังจึงลดน้อยลง ทำให้ผิดพลาดได้ เมื่อไรจะใช้ทางด่วนพึง

ควรปฎิบัติดังนี้
-ตรวจสอบจุดบริการ และจุดจอดรถไว้ล่วงหน้า
-กำหนดล่วงหน้าว่าจะจอดพักที่ไหนและเติมน้ำมันที่ไหน

2.ต้องตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนเดินทาง
การตรวจสอบรถยนต์และสัมภาระควรทำแต่เนิ่น ๆ อย่าพยายามตรวจอย่างเร่งรีบก่อนออกเดินทางหรือขึ้นทางด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างลืมตรวจสอบสิ่งต่อไปนี้ให้เรียบร้อย

- เชื้อเพลิง ปริมาณน้ำมันมีพอหรือไม่
- หม้อน้ำ ปริมาณน้ำในหม้อน้ำมีพอหรือไม่ หม้อน้ำรั่วไหม
- มีน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรกพอหรือไม่
- สายพานพัดลมตึงพอดีไหม มีรอยขาดหรือไม่
- ยางเก่าเกินไปหรือเปล่า ลมยางแข็งกว่าปกติ 20-30% หรือไม่
สัมภาระ ใช้เชือกผูกอย่างแข็งแรงแน่นหนาแล้วหรือยัง

นอกจากนี้ ควรนำไฟหรือแผ่นป้ายที่มีเครื่องหมายแสดงว่ามีรถกำลังจอดอยู่ (ป้ายสามเหลี่ยม) นำไปติดตั้งไปด้วย เผื่อรถกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนทางด่วนแล้วจำเป็นต้องจอดรถบนทางด่วน

3.สนใจติดตามข่าวการจราจร

หากผู้ขับขี่ไม่ทราบข่าวคราวการจราจรที่เพียงพอ อาจเป็นสาเหตุให้ต้องรีบเร่งและเกิดกังวลกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวเมื่อจะใข้ทางด่วนควรจะ

-สอบถามไปยังศูนย์ข้อมูลการจราจรวล่วงหน้าเพื่อขอทราบข้อมูล
-ให้ความสนใจเครื่องหมายจราจรหรือแผ่นป้ายต่างๆ บนทางด่วนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มองข้ามข้อมูลที่สำคัญไป
-ใช้วิทยุในรถฟังข่าวจราจร

4.ควรรัดขัดเข็มนิรภัยทุกครั้ง

ผู้ขับขี่และผู้โดยสารในรถทุกคนควรรัดเข็มขัดนิรภัยเพื่อลดความรุนแรงของอุบัติเหตุในกรณีที่คาดไม่ถึง นอกจากนั้นแล้วเข็มขัดนิรภัยยังช่วยให้ผู้ขับขี่อยู่ในท่านั่งที่ถูกต้อง และยังมี

ประโยชน์ช่วยลดความเมี่อยล้าและทำให้ขับรถได้อย่างมั่นคง
 

ลดการกินน้ำมันด้วยตัวคุณเอง-หนีไม่พ้นการกินดุ...หากเลือกผิด !

ผมตั้งชื่อบทความแบบนี้ หลายคนอาจงงในความหมายที่แท้จริง ผมต้องการบอก 2 ประเด็น คือ

1. ลดการกินน้ำมันด้วยตัวคุณเอง มีความหมายตรงตัวว่า ด้วยการปฏิบัติของตัวคุณเอง จะสามารถลดการกินน้ำมันของรถได้
2. หนีไม่พันการกินดุ...หากคุณเลือกรถผิด ความหมายที่แท้จริง ต้องการบอกว่าถ้าคุณเลือกซื้อรถบางประเภทแล้วคุณจะหนีไม่พ้นการกินน้ำมัน

++ลดการกินน้ำมันด้วยตัวคุณเอง++

ในสภาวะที่น้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพงเช่นนี้ หลายคนหวาดผวากันไปทั่วและอยากเพิ่มความประหยัดให้กับการใช้รถเพราะไม่อยากจ่ายค่าเชื้อเพลิงต่อทุกกิโลเมตรในราคาแพงๆ ประเด็นสำคัญ คือจะทำอย่างไรให้รถใช้น้ำมันน้อยลงในการเดินทาง

หลายคนพุ่งความสนใจไปที่การดัดแปลงเครื่องยนต์หรือรถโดยมองข้ามไปว่าตัวการสำคัญที่จะทำให้เปลืองน้ำมันแค่ไหน อยู่ที่ตัวผู้ขับเองสไตล์หรือบุคลิกการขับรถ ส่งผลโดยตรงถึงการกินน้ำมัน

ถ้ายังงงให้นึกเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า ในการเดินทางพร้อมกันสภาพการจราจรเหมือนกัน2 คนขับรถ 2 คันรุ่นเดียวกัน ระหว่างบางกะปิ-สีลม หากคนหนึ่งกดคันเร่งหนักๆบ่อยๆ เร่งแล้วเบรก กับอีกคนขับอย่างนุ่มนวล เร่งนุ่มและนานๆ เบรกทีนึง รถ 2 คันนี้อาจกินน้ำมันต่างกันได้ถึง 2 กิโลเมตรต่อลิตร

อย่าสงสัยเลยว่า ในเมื่อการจราจรเดียวกับรถคับคั่งเหมือนกันทำไมคันหนึ่งจะกินน้ำมันมากกว่าขนาดนี้ เพราะการกินน้ำมันไม่ได้เกิดขึ้นจากการขับเร็วเท่านั้นแต่เกี่ยวข้องการการเรียกใช้รอบของเครื่องยนต์ด้วยคันเร่ง ยิ่งกดพรวดพราดบ่อยๆ ก็ยิ่งเปลืองน้ำมันกว่าการกดคันเร่งอย่างนุ่มนวล ประเมินสภาพการจรจรไปด้วย พยายามเบรกให้น้อยที่สุด ความนุ่มนวลในการกดคันเร่ง การกดคันเร่งไม่ลึก และการรักษาความนิ่งของตำแหน่งคันเร่งยิ่งทำได้ดีเท่าไรยิ่งช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

ส่วนในกรณีของความเร็ว แน่นอนว่ายิ่งขับช้ายิ่งประหยัด แต่ก็ต้องเกี่ยวข้องกับลักษณะการกดคันเร่งข้างต้นด้วยเพราะการที่รถจะเคลื่อนที่ได้เร็ว ต้องเอาชนะทั้งแรงดึงดูดของโลกและพยายามฝ่ากำแพงลม ยิ่งเร็วกำแพงลมยิ่งแข็ง กินแรงเครื่องยนต์และทำให้กินน้ำมัน

การขับรถช้าจะเพิ่มความประหยัด แต่อย่าช้าเกินสภาพการจรจรที่ควรจะเป็นและความปลอดภัย หากขับข้าแล้วเสี่ยงที่จะโดนชนท้ายก็เร่งเอาตัวรอดไว้ก่อนดีกว่านอกจากนั้นการรักษาความเร็วให้คงที่ได้นานที่สุดในแต่ละช่วง จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีกว่า การขับช้าแต่ความเร็วแกว่งขึ้น-ลงบ่อยๆ

แรงดันลมยาง แค่แรงดันอ่อนลงสัก 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วก็ส่งผลให้รถกินน้ำมันมากขึ้นได้ เพราะยางจะลดความกลม จึงหมุนยากขึ้น แม้ยางแข็ง-อ่อนจะส่งผลไม่มาก แต่การดูแลแรงดันลมยางก็ไม่ยากเช่นกัน หากไม่สะเทือนมาก การเพิ่มแรงดันลมยางให้สูงกว่าปกติสัก 1-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วก็ส่งผลถึงความประหยัดได้บ้าง ถึงจะไม่ชัดเจนมาก แต่ก็ได้ผลแน่ๆ
 

ไฟล์แนบ

  • Image2.jpg
    Image2.jpg
    26 KB · อ่าน: 51
  • Image3.jpg
    Image3.jpg
    24.2 KB · อ่าน: 51
การเบรกก็มีผลต่อการกินน้ำมัน เพราะทุกครั้งที่เบรก ความเร็วจะลดลง ถ้าต้องการไปต่อก็ต้องเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น การมองไกลเพื่อประเมินสถานการณ์ข้างหน้า ละคันเร่งเร็ว ปล่อยไหล แต่ไม่เบรกรอเพื่อกดคันเร่งต่อ กับละคันเร่งช้า แตะเบรก แล้วกดคันเร่งต่อการปฏิบัติอย่างหลังทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าเมื่อทราบแล้วว่าการเบรกส่งผลให้กินน้ำมันมากขึ้น ก็อย่าถึงขั้นใจแข็งมากไม่ยอมเบรกจนกว่าจะจวนตัวจริงๆ เพราะความปลอดภัยสำคัญที่สุด

การลดน้ำหนักบรรทุกในสิ่งไม่จำเป็น ให้ยกออกจากรถจะช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันได้ แต่อย่าถึงขั้นเอายางอะไหล่หรือแม่แรงออกเพราะคิดว่ายางรั่วหรือแตกยากอยู่แล้วเพราะเมื่อไรจำเป็นต้องใช้ยางอะไหล่แล้วไม่มี จะลำบากมาก

++หนีไม่พันการกินดุ...หากคุณเลือกรถผิด++

ความหมายที่แท้จริง ต้องการบอกว่าถ้าคุณเลือกซื้อรถบางประเภทแล้วคุณจะหนีไม่พ้นการกินน้ำมัน หลายคนกังวลเรื่องการกินน้ำมัน แต่เลือกรถที่มีพื้นฐานกินน้ำมันดุ ซึ่งยังไงก็หนีไม่พ้นและหาทางเลี่ยงไม่ได้ เช่น ใช้งานแค่คนสองคน แต่ซื้อรถเก๋งคันโต, ไม่จำเป็นต้องลุย แต่ซื้อเอสยูวีคันโต รถเปล่าก็หนัก 2 ตัน ทั้งต้านลมทั้งกินแรงเครื่องตัวโตอุ้ยอ้ายไปตลอดการเดินทาง, ชอบเอสยูวีคันโย่งเครื่อง 2,000-3,000 ซีซี ถึงบางรุ่นจะไม่หนักไม่โตมาก แต่ก็ใหญ่กว่าและต้านลมกว่ารถเก๋งคอมแพกต์แน่ๆ, อยากได้เอ็มพีวีรถตู้ไฮเทคคันโตนั่งได้ 7 คน รวมน้ำหนักบรรทุกเป็น 2 ตันกว่า ยังไงก็ต้องกินน้ำมันดุ

จะให้ขับรถคอมแพกต์ เครื่อง 1,500-1,600 ซีซี น้ำหนักตัวตันเดียวก็ไม่เอา ชอบรถใหญ่ แต่กลัวกินน้ำมัน ย่อมหนีไม่พันการกินดุ...หากคุณเลือก

การกินน้ำมันมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพื้นฐานของรถและผู้ขับ ถ้าพื้นฐานกินดุขับเนียนก็แค่ไม่กินดุมาก ถ้าพื้นฐานจิบน้ำมัน แต่ขับโหด ก็ย่อมกินเพิ่ม !
 

ไฟล์แนบ

  • Image4.jpg
    Image4.jpg
    16.2 KB · อ่าน: 53
ท่านั่งขับรถ ตำแหน่งการจับพวงมาลัย การปรับเบาะ ที่ถูกต้อง

การปรับเบาะและท่านั่งขับรถที่ถูกต้อง มีผลมากต่อความปลอดภัยในการขับรถ รวมถึงความปลอดภัยเมื่อเกิดการชนด้วย การปรับเบาะที่ถูกต้องทำได้ไม่ยาก แค่ใช้ฝ่าเท้า เน้นว่าฝ่าเท้า ไม่ใช่ปลายเท้า เหยียบแป้นคลัตช์ให้สุด หรือถ้าเป็นเกียร์ออโต้ก็ใช้ฝ่าเท้าเหยียบแป้นเบรก แล้วเลื่อนตัวเบาะนั่งให้เข่างอเล็กน้อย นั่นเป็นตำแหน่งของเบาะนั่งที่เหมาะสม

ส่วนการปรับพนักพิงที่ถูกต้อง จะต้องไม่เอนหรือตั้งเกินไป ถ้าปรับพอดี จะเช็คได้โดย ใช้มือซ้ายจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 9 นาฬิกา มือขวา 3 นาฬิกา แล้วข้อศอกต้องงอเล็กน้อย แต่แผ่นหลังต้องแนบกับพนักพิงตลอดเวลา

ปรับเสร็จแล้วลองเลื่อนมือไปวางไว้บนสุดของวงพวงมาลัย แถวๆ ข้อมือต้องแตะกับพวงมาลัยจึงจะถูกต้อง ถ้าวงพวงมาลัยอยู่เลยไปถึงกลางฝ่ามือหรือโคนนิ้ว แสดงว่าปรับพนักพิงเอนเกินไป ถ้าวงพวงมาลัยอยู่ชิดเลยข้อมือเข้ามาแสดงว่านั่งชิดเกินไป

หมอนรองศีรษะก็สำคัญ ควรปรับให้พอดีโดยให้เอนศีรษะแล้วพิงช่วงกลางหมอนพอดี แต่ศีรษะไม่ต้องพยายามพิงหมอนเวลาขับ เพราะหมอนรองศีรษะมีไว้รองรับเมื่อเกิดการชนแล้วศีรษะจะได้สะบัดไปด้านหลังน้อย ไม่ใช่ไว้พิงตอนขับ

เข็มขัดนิรภัยถ้าปรับสูง-ต่ำได้ ก็ควรปรับต่อจากการปรับเบาะ จะได้พอดีกัน ที่ถูกต้องสายเข็มขัดนิรภัยต้องพาดจากไหปลาร้าเฉียงลงมาที่สะโพก ส่วนด้านล่างก็พาดอยู่แถวกระดูกเชิงกราน อย่าให้สายพาดคอ หรือห้อยเลยหัวไหล่ลงไป

พวงมาลัยของรถรุ่นใหม่ๆ มักปรับสูงต่ำได้ ก็ควรปรับให้พอดี คือ ไม่สูงเกินไปเพราะจะเมื่อยเมื่อขับนานๆ และไม่ต่ำเกินไปจนติดต้นขา กระจกมองข้างและกระจกมองหลังเปรียบเสมือนตาหลังของคนขับ กระจกมองข้างควรปรับไม่ก้มหรือเงยเกินไป และปรับให้เห็นด้านข้างของตัวรถเรานิดๆ อย่าให้เห็นแต่ทางด้านหลังล้วนๆ ส่วนกระจกมองหลังก็ปรับให้เห็นด้านหลังเป็นมุมกว้างที่สุด ไม่ใช่ปรับไว้ส่องหน้าตัวเองแบบที่หลายคนทำกัน

ทั้งหมดที่แนะนำต้องปรับตอนรถจอดนิ่งในที่ปลอดภัย อย่าปรับตอนขับรถหรือจอดบนถนน อันตราย ถุงลมนิรภัย หรือแอร์แบ็ก ซึ่งรถรุ่นใหม่ๆ มักมีมาให้อย่างน้อย 1 ใบในฝั่งผู้ขับ

ถุงลมนิรภัยจะพองตัวขึ้นเองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ มีไว้รองรับร่างกายส่วนบนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ให้ปะทะกับพวงมาลัยหรือแผงหน้าปัดโดยตรง ช่วยลดความบาดเจ็บได้ แต่ก็ต้องมีการใช้งานที่ถูกต้องด้วย
 

ไฟล์แนบ

  • Image5.jpg
    Image5.jpg
    26.6 KB · อ่าน: 53
  • Image6.jpg
    Image6.jpg
    8.7 KB · อ่าน: 48
กรมขนส่งเข้มเดินทางปีใหม่
ข่าวในประเทศ - กรมการขนส่งทางบก ติวเข้มผู้ประกอบการขนส่งและพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะทั่วประเทศ พร้อมรับการเดินทางช่วงปีใหม่ กำชับผู้ขับรถสาธารณะขับรถอย่างรอบคอบ
ชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงคมนาคม มีนโยบาย ให้ ปี 2553 เป็นปีแห่งความปลอดภัยในการเดินทาง กรมการขนส่งทางบก ได้สนองนโยบายดังกล่าวโดยเริ่มที่เทศกาลปีใหม่ 2553 ที่จะถึงนี้ ด้วยการกำชับให้หน่วยงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคปฏิบัติตามแผน รณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มงวด ทั้งการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 และเตรียมจัดสัมมนาผู้ประกอบการขนส่งและพนักงานขับรถโดยสารประจำทาง ในวันที่ 16 ธันวาคม 2552 ณ ห้องประชุม อาคาร 6 ชั้น 7 ณ กรมการขนส่งทางบก จตุจักร

โดยกรมการขนส่งทางบกได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจความพร้อมของรถโดยสารและพนักงานขับรถ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต เอกมัย สายใต้ใหม่ และบนถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ เพื่อให้พร้อมบริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553

ขณะเดียวกันยังได้มุ่งเน้นที่สภาพตัวรถโดยสารซึ่งจะต้องมีความมั่นคงแข็งแรง และที่สำคัญได้กำชับให้ผู้ขับรถโดยสารสาธารณะใส่ใจความปลอดภัยของผู้โดยสารและผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน

สำหรับประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 ขอให้ตรวจสอบความพร้อมของรถก่อนเดินทาง โดยสามารถนำรถเข้ารับการตรวจสภาพเบื้องต้นฟรี ณ จุดที่มีป้ายประชาสัมพันธ์
 

ไฟล์แนบ

  • 552000016388901.jpg
    552000016388901.jpg
    37.6 KB · อ่าน: 54
"ถอยหลัง"วิธีการขับรถที่ต้องฝึกฝน
การเคลื่อนไหวต่างๆ ไปข้างหน้า ธรรมชาติมักจะอำนวยความสะดวกไว้ให้เพราะเรามีดวงตาอยู่ทางด้านหน้า เช่นเดียวกับการขับรถ มีนักขับรถจำนวนหลายท่าน ที่มีความชำนิชำนาญในการขับรถไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว ขับขึ้นเขาลงเขาได้ถูกต้อง แต่พอจะถอยหลังเข้าจอดหรือถอยหลังเพื่อออกรถ หรือถอยหลังเพื่อกลับรถชักจะยุ่งใหญ่ ถอยแล้ว ถอยอีก ไม่ยอมเข้าที่เข้าทางได้สักที บางครั้งมองดูเป็นงุ่มง่ามเงอะงะไปเลยก็มี

เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าการขับรถถอยหลังนั้น การหมุนพวงมาลัยจะให้ความรู้สึกกลับกัน เพราะหมุนที่ล้อหน้า แต่กลับมาให้ความรู้สึกสนองตอบที่ล้อหลัง ดังนั้นผู้ที่ไม่ฝึกหัดให้ชำนิชำนาญและคุ้นเคยกับปฏิกิริยานี้ มักจะขับได้ไม่ค่อยดี

อีกประการหนึ่ง การที่เราขับไปข้างหน้าทันทีที่เราหมุนพวงมาลัย ความรู้สึกว่ารถสนองตอบจะเกิดขึ้นทันที แต่การขับรถถอยหลังนั้น หมุนพวงมาลัยไปแล้ว ต้องทิ้งระยะสักชั่วครู่หนึ่งอาการสนองตอบของรถจึงจะเกิดขึ้น ทำให้ความรู้สึกในการขับรถของเราผิดไปจากปกติได้
เคล็ดลับการขับรถถอยหลังประการแรกก็คือ ต้องพยามยามขับถอยหลังให้ความเร็วรถช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ชินกับการสนองตอบของพวงมาลัยต่อรถ อย่าพยายามหมุนพวงมาลัยในขณะที่รถยังไม่เคลื่อนตัว แต่ให้หมุนทันทีที่รถเคลื่อนตัว จะทำให้หมุนพวงมาลัยได้สะดวก ง่าย เบามือ และยิ่งหมุนพวงมาลัยมากจนเกือบสุด ก็จะทำให้รถเคลื่อนตัวช้ามากขึ้นเท่านั้น

เคล็ดลับประการที่สองก็คือ ล้อหน้าเท่านั้นที่เป็นจุดเล็งให้รถเข้าสู่เป้าหมาย การขับรถถอยหลังนั้นไม่ใช่ของง่ายนัก การฝึกหัดที่ถูกต้องคือต้องหัดถอยช้าๆ ไปในทางตรงๆ ก่อน และค่อยๆ เลี้ยวเป็นมุมพอคล่องแคล่ว จับอาการได้ดีแล้วจึงฝึกเลี้ยวซิกแซก ที่ยากขึ้น

ท่านั่งในการขับถอยหลัง ท่านจะต้องขยับตัวจากที่นั่งจากปกติ จะขยับไปทางใด มากน้อยเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับร่างกายของท่านว่าเหมาะสมอย่างใด และจะถอยหลังเลี้ยวซ้ายหรือถอยหลังเลี้ยวขวา เช่น ถ้าจะถอยหลังเลี้ยวซ้าย ท่านควรจับพวงมาลัยด้วยมือขวาและถือได้ว่าในตำแหน่ง 12 นาฬิกา ส่วนถ้าเลี้ยวขวา ก็ควรถือพวงมาลัยไว้ด้วยมือซ้ายตำแหน่ง 12 นาฬิกาเช่นกัน ถ้าร่างกายอ้วนมาก อึดอัด ก็ให้ใช้มือที่ว่างพาดที่เบาะอีกตัวเพื่อประคองตัวเอาไว้ หรือที่เบาะนั่งของที่นั่งคนขับก็ได้

การหมุนพวงมาลัย เป็นข้อที่ยากลำบากอย่างหนึ่งในการหมุนพวงมาลัยขับรถถอยหลัง เพราะจะต้องหมุนพวงมาลัยเร็วกว่ากำหนดเล็กน้อยก่อนถึงจุดเลี้ยว และเมื่อคืนพวงมาลัยให้ตรงก็ต้องหมุนให้เร็วว่าปกติสักเล็กน้อย รถจึงจะเข้าอยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ ทั้งนี้จะต้องประกอบด้วยการถอยอย่างช้าๆ เพื่อมีเวลาดูสิ่งกีดขวางทั้งข้างหน้าและข้างหลังอย่างระมัดระวังตลอดระยะเวลาที่รถถอยหลัง

ข้อพึงจำและปฏิบัติในการขับรถถอยหลัง

1. อย่าถอยรถจากถนนซอกซอย ถนนใหญ่ ถ้าไม่มีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะโอกาสจะถูกรถที่วิ่งในถนนใหญ่มาชนสูงมาก

2. อย่าถอยรถจนกว่าจะมั่นใจว่าปลอดภัย ถึงแม้จะมีคนคอยช่วยดูทางให้ก็ตาม

3. พยายามอย่าถอยรถในระยะทางยาวๆ เพื่อความสะดวกแก่ตนเอง เพราะอาจจะเกะกะกีดขวางคนอื่นๆ และอาจไม่ปลอดภัยด้วย จึงควรถอยหลังให้สั้นที่สุด

4. ทุกครั้งที่ขับรถถอยหลัง ต้องพร้อมที่จะหยุดรถให้ได้ทุกวินาที
ถ้าทำได้ดังนี้ครบทุกข้อ ท่านก็จะขับรถถอยหลังได้โดยถูกต้องและปลอดภัย
 

ไฟล์แนบ

  • 552000014618302.jpg
    552000014618302.jpg
    15.5 KB · อ่าน: 51
  • 552000014618301.jpg
    552000014618301.jpg
    22.3 KB · อ่าน: 55

สิ่งสำคัญในการขับรถที่มีถุงลมฯ คือ ต้องปรับเบาะและพนักพิงให้เหมาะสม อย่าให้ชิดเข้ามามากเกินไป คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง และจับพวงมาลัยให้ถูกตำแหน่ง ถ้าปรับเบาะชิดไป และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ร่างกายส่วนบนอาจปะทะกับถุงลมฯ ผิดจังหวะ คือ ปะทะตอนถุงลมยังพองตัวไม่สุด ร่างกายพุ่งไปด้านหน้าแล้วเจอกับถุงลมฯ ที่พุ่งสวนออกมา กลายเป็น 2 แรงบวกเจ็บหนักแน่

การจับพวงมาลัยก็เกี่ยวข้องกับถุงลมฯ เพราะถ้าจับไม่ถูกตำแหน่งแขนอาจไปขวางทางการพองตัวของถุงลมฯ ทำให้ถุงลมฯ ไม่ได้ทำงานตามที่ออกแบบมา

ส่วนรถที่มีถุงลมฯ ฝั่งข้างคนขับก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังไม่วางของขวางทางถุงลมฯ และอ่านคำเตือนเรื่องถุงลมฯ ในคู่มือประจำรถอย่างละเอียดก่อนใช้งานด้วย ถุงลมนิรภัยจะช่วยลดความบาดเจ็บได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้งานอย่างถูกวิธี จำง่ายๆ ว่า อย่านั่งชิดเกินไป และต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการขับรถ ไม่งั้นอาจกลายเป็นถุงลมมหาภัยได้

ตำแหน่งการจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง


จริงๆ แล้วอยากจะบอกว่า คนไทยมีการจับพวงมาลัยผิดตำแหน่งกันมากกว่าครึ่ง แต่ก็ไม่ได้สำรวจอย่างจริงจัง แค่ลองนั่งริมถนนคอยดูคนขับรถผ่านไปเท่านั้น3 สาเหตุที่ทำให้หลายคนปฏิบัติกันผิดๆ ก็คือ

1. เน้นความสบายของตนเองเป็นหลัก
2. จับพวงมาลัยตามใจชอบ ก็ไม่เห็นจะเกิดอุบัติเหตุเลย
3. ไม่มีใครบอกใครสอน ทั้งตอนหัดขับรถ หรือคนอื่นนั่งไปด้วย
 

ไฟล์แนบ

  • Image7.jpg
    Image7.jpg
    25.2 KB · อ่าน: 48
ตำแหน่งที่ถูกต้องของการจับพวงมาลัย เมื่อเปรียบเทียบกับหน้าปัดนาฬิกา เพราะเป็นวงกลมเหมือนกันน่าจะเข้าใจกันได้ง่าย มือซ้ายอยู่ในตำแหน่ง 9 นาฬิกา มือขวาอยู่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกา

ส่วนตำแหน่ง 10 และ 2 นาฬิกา อนุโลมได้ แต่ไม่แนะนำ เพราะความแม่นยำในการบังคับควบคุมจะด้อยกว่าตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกาซึ่งอยู่ครึ่งหรือช่วงกลางของวงพวงมาลัยพอดี

การกำพวงมาลัยสำหรับการขับรถบนเส้นทางเรียบ ไม่ใช่วิบาก ควรใช้นิ้วโป้งเกี่ยวช่วยด้วยเสมอ กำแน่นพอประมาณ แต่ไม่หลวมเกินไป ควรจับพวงมาลัย 2 มือ ที่ตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกาอยู่เสมอ (แต่ไม่ถึงกับเกาหรือปรับวิทยุไมได้) อย่าชะล่าใจเมื่อเห็นเส้นทางโล่งๆ หรือเดินทางไกล เพราะถนนเมืองไทยมีหลุมโดยไม่ได้คาดหมาย หรือมีอะไรให้หักหลบฉุกเฉินได้เสมอ และหลังเปลี่ยนเกียร์แล้ว อย่าวางมือคาไว้บนหัวเกียร์ ให้ยกมือขึ้นมาจับพวงมาลัยครบ 2 มือตามปกติ

อ่านแล้วนอกจากจะนำไปปฏิบัติ (เหมือนว่าบางคนจะแก้ไขยาก เพราะเคยชิน แต่ถ้าตั้งใจก็ไม่ยาก) ก็ควรเผยแพร่ออกไปเท่าที่ทำได้ เพราะไม่ใช่เรื่องยากเลยกับการจับพวงมาลัยครบ 2 มือตามตำแหน่งที่บอก เกือบตลอดการขับ ถ้าขับทางไกลแล้วรู้สึกเมื่อย ก็แค่บีบข้อศอกเข้ามาแตะลำตัวเท่านั้นเอง ไม่ควรคิดว่าจับพวงมาลัยตำแหน่งแบบไหนๆ ก็ไม่เคยขับรถชน เพราะถ้าพลาดเพียงครั้งเดียว อาจไม่มีโอกาสนึกถึงการแนะนำนี้เลยก็เป็นได้
 

ไฟล์แนบ

  • Image8.jpg
    Image8.jpg
    13.6 KB · อ่าน: 49
การล้างหม้อน้ำ ไม่ใช่เรื่องยาก

การทำความสะอาดหม้อน้ำจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน และการกัดกร่อนภายในที่อาจเกิดขึ้นได้
เริ่มด้วยการหาถุงพลาสติกคลุมอุปกรณ์ไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ ๆ หม้อน้ำ แล้วมองหาปลั๊กถ่ายน้ำด้านล่างของตัวหม้อน้ำ และคลายไว้เล็กน้อย
เปิดฝาหม้อน้ำ และเตรียมสายยางที่ต่อไว้กับก็อกประปา พร้อมติดเครื่องยนต์ให้ทำงาน คลายหัวไล่น้ำออก เอาสายยางที่มีน้ำไหลแหย่ลงไปในช่องที่เปิดฝาหม้อน้ำออกให้มีน้ำหมุนเวียนในเครื่องยนต์อยู่ตลอดเวลา โดยน้ำจะไหลจากท่อยางที่เสียบลงไปจากด้านบนและไหลออกที่ช่องด้านล่าง ทำการทิ้งไว้สักพักจนน้ำเริ่มใส
ปิดปลั๊กอุดด้านล่าง และปิดน้ำที่สายยาง ดับเครื่องยนต์ และเตรียมน้ำยาหล่อเย็น COOLANT เพื่อเพิ่มจุดเดือดของน้ำ
คลายปลั๊กไล่น้ำเล็กน้อย เพื่อให้น้ำลดระดับลงไปบ้าง เติมน้ำยาหล่อเย็นลงไป ถ้ายังเติมไม่พอ ก็ไล่น้ำทิ้งออกไปอีกเล็กน้อย ไล่เติมจนได้สัดส่วนที่ข้างกระป๋องน้ำยาหล่อเย็นที่ระบุไว้ เช่น 0.5 หรือ 1 กระป๋องต่อรถยนต์ 1 คัน ฯลฯ
ติดเครื่องยนต์ปล่อยให้ทำงานสักพัก เพื่อให้วาล์วน้ำ เปิดจนสุด มีการหมุนเวียนตามปกติ เติมน้ำยาในหม้อน้ำและถังพักให้ได้ระดับ ปิดฝาเป็นอันเสร็จ

ส่วนรถยนต์ที่ใช้หม้อน้ำ ระบบปิด ไม่มีฝาหม้อน้ำ ใช้เติมน้ำที่ถังพัก ก็ปฎิบัติคล้าย ๆ กัน แต่ต้องหาหัวไล่ลมให้พบ โดยในขั้นตอนสุดท้าย ต้องไล่ลมพิเศษออกจากระบบให้หมดที่หัวไล่ลมพิเศษนี้ด้วย
 

ไฟล์แนบ

  • tip01.gif
    tip01.gif
    25.2 KB · อ่าน: 50

เอธานอล อัศวินม้าขาวของวิกฤตราคาน้ำมันเบนซิน

เชื่อหรือไม่ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามผู้ที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ ก็คือผู้บริโภคน้ำมันเบนซินอย่างพวกเราทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ใช้น้ำมันดีเซลที่ราคาเพิ่มสูงขึ้นตามมาติด ๆ ในเมื่อเราไม่สามารถเลิกใช้รถเพื่อการเดินทางได้ ดังนั้นการใช้พลังงานทดแทนดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบันนี้

เอธานอล คืออะไร
เอธานอล เป็นแอลกอฮอล์ที่ได้จากการแปรรูปพืชประเภท แป้ง และน้ำตาล สามารถนำมาใช้ทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ หากจะนำมาใช้เพียว ๆ เครื่องยนต์ก็ต้องออกแบบมาเพื่อใช้กับเชื้อเพลิงเอธานอลโดยเฉพาะ ซึ่งใช้กับเอธานอลบริสุทธิ์ 95 % (มีส่วนผสมของน้ำอยู่ 5 %) คงไม่คุ้มค่านักกับการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ให้สามารถใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ (ค่าใช้จ่ายอาจจะสูงจนสามารถนำไปดาวน์รถใหม่ได้) สำหรับเอธานอลบริสุทธิ์ 99.5 % สามารถนำไปผสมกับน้ำมันเบนซิน หรือ แกสโซลีน กลายเป็น แกสโซฮอล์ รูปแบบใหม่ของพลังงานทดแทนที่กำลังถูกกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวาง

สำหรับประเทศไทย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีสายพระเนตรกว้างไกลว่าในอนาคตอันใกล้นี้ พสกนิกรของพระองค์คงต้องประสบปัญญาราคาน้ำมันสูงเป็นแน่ แต่พืชพรรณทางการเกษตรกลับมีราคาตกต่ำลง โดยเฉพาะอ้อยที่นิยมเพาะปลูกมากจนมีปริมาณล้นความต้องการของประเทศ จึงมีพระกระแสรับสั่งให้โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรดา ดำเนินการศึกษาค้นคว้าและทดลองใช้เชื้อเพลิงเอธานอลกับรถยนต์ โดยมีภาคเอกชนหลายหน่วยงานร่วมพัฒนาโครงการ จนประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ

อย่างไรก็ดี ภาครัฐควรเร่งการขยายสาขาให้บริการแกสโซฮอล์ให้มากยิ่งขึ้น เพราะนั่นหมายถึงการช่วยชาติลดการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ลดการเสียดุลการค้า ที่สำคัญที่สุดผลผลิตทางการเกษตรที่นำมาแปรรูปเป็นเอธานอลได้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เกษตรกรผู้ผลิตก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ชีวิตการเป็นอยู่ดีขึ้น เช่นกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.ethanol-thailand.net
 
สี่แยกอารมณ์เสีย

เคยสังเกตุหรือไม่ว่าเมือท่านขับรถไปหยุดตามสี่แยกไฟแดง จะต้องมีเพื่อนร่วมทางของท่านคนใดคนหนึ่งถูกเพื่อร่วมทางของท่านอีกคนหนึ่งต่อว่าด้วยเสียงแตร บ้างก็แค่เตือนเบา ๆ บ้างก็ต่อว่าแบบเอาเป็นเอาตาย(คงอารมณ์เสียมาจากสี่แยกที่แล้วแน่ๆ เลย) บังเอิญว่าคันที่บีบแตรเสียงดังน่าปวดหัวดันมาอยู่ข้างหลังเราเสียด้วย เอ
 
บทเรียนราคาแพงจากแบตเตอร์รี่

นับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบนความประมาทเลินเล่อและเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ขับรถทุกท่าน โดยเฉพาะท่านที่ขับเป็นอย่างเดียวและไม่คิดที่จะหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลรักษารถยนต์ด้วยตนเอง ก็ใครจะไปคิดว่าแบตเตอร์รี่ลูกเล็ก ๆ ลูกเดียวจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้มากถึงเพียงนี้

เรื่องมีอยู่ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ลูกใหม่ก็เลยขับรถไปเปลี่ยนที่ร้านโดยเลือกแบตเตอร์รี่ชนิดเติมน้ำกรดแล้วใช้งานได้ทันที ไม่นานช่างก็บอกว่าเรียบร้อยแล้วจึงชำระเงินแล้วขับรถไปธุระต่างจังหวัด
ระหว่างทางเมื่อรถตกหลุมหรือผ่านทางขลุขละมาก ๆ จะได้ยินเสียงดังมาจากเครื่องยนต์แต่ไม่ได้เอะใจเพราะความไม่รู้จึงคิดไปเองว่า
 

ไฟล์แนบ

  • tip09.gif
    tip09.gif
    25.4 KB · อ่าน: 53

รถยนต์สีอะไรปลอดภัยบนถนน

จากการทดสอบของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สรุปได้ว่า รถยนต์สีน้ำเงินหรือฟ้า (หรือสีบลู) กับสีเหลือง จะเป็นสีที่ให้ความปลอดภัยสูงที่สุดในยามที่แล่นฉิวปลิวลมไปบนถนนหลวง

รถยนต์สีน้ำเงินหรือสีฟ้านั้นจะให้ความปลอดภัยสูงสุดในเวลากลางวันและในยามที่มีหมอกลง เพราะผู้ร่วมใช้ถนนอยู่จะมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด

รถยนต์สีเหลืองจะมีความปลอดภัยสูงสุดในเวลากลางคืน ส่วนสีที่ไม่น่าใช้ที่สุดคือ สีเทา แต่ผลการศึกษาของเมอร์เซเดสเบนซ์ บอกว่า สีขาวเป็นสีที่เหมาะสมที่สุด เพราะสามารถมองเห็นได้เด่นชัดจากทุกทิศทาง จะมีจุดอ่อน ก็เพียงเมื่อยามที่เกิดมีหิมะตกหนักปกคลุมถนน และวิ่งบนพื้นที่ทรายสีขาว รองลงไปจากสีขาวเป็นสีเหลืองสดใส และอันดับสามเป็นสีส้มสด เพราะผู้ร่วมใช้ถนนมองเห็นชัดมาก ส่วนสีที่ไม่น่าใช้ เมอร์เซเดสเบนซ์ บอกว่า สีเขียวเข้ม หรือดาร์คกรีน
 

ไฟล์แนบ

  • tip05.gif
    tip05.gif
    10.7 KB · อ่าน: 49

การดูแลรักษาชิ้นส่วนภายใน

ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ เช็ดถู และหากเป็นไปได้ควรใช้พวกผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาพลาสติก สำหรับส่วนที่เป็นช่องเป่าลมแอร์ หากมีฝุ่นละอองเกาะตามซอกเล็ก สามารถกำจัดเจ้าฝุ่นละอองเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น โดยใช้พวกแปรงไฟฟ้าสถิตที่สามารถดูดฝุ่นละอองได้

ห้ามใช้น้ำกับบริเวณเบาะที่นั่ง หรือส่วนที่เป็นผ้าบุหลังคาจนเปียกชุ่ม ควรใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ตลอดจนห้ามใช้สารที่มีคุณสมบัติเป็นตัวละลายกับชิ้นส่วนต่างๆ เช่น พวกไนโตรทินเนอร์ แอลกอฮอล์ น้ำมันเบนซิน หรือน้ำมันดีเซล เป็นต้น

อุปกรณ์วัสดุที่เป็นยาง นอกจากใช้น้ำในการทำความสะอาดแล้ว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลรักษายาง และพวกสเปร์ซิลิโคนเท่านั้น

แผงลายไม้ ไม่ว่าจะเป็นไม้จริงหรือทำจากเรซิ่นก็ตาม ควรเช็ดถูทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆเท่านั้น

ผ้ายางปูพื้นหรือพรมสกปรกมาก สามารถทำความสะอาดได้จากการใช้น้ำยาทำความสะอาด ควรนำผ้ายางปูพื้นออกมาสลัดฝุ่นทิ้ง และดูดฝุ่นที่พรมปูพื้นเป็นประจำ ซึ่งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของคอยล์เย็น ไม่ให้อุดตันเร็วนัก ยืดระยะเวลาในการล้างตู้แอร์ให้ยาวนานออกไป
 
12 วิธีการประหยัดน้ำมันแบบง่ายๆ

ขั้นตอนการประหยัด

1.เติมน้ำมันหลัง 4 ทุ่ม หรือก่อน 9 โมงเช้าเสมอ
2.เติมน้ำมันแค่หัวจ่ายตัดพอแล้ว
3.อุ่นเครื่อง 1 นาทีในหน้าร้อนและ 3 นาทีในหน้าหนาว
4.ค่อยๆออกตัวเมื่อรถจอดนิ่ง 1-2 พันรอบ
5.ควรใช้เกียร์สูงเมื่อรถวิ่งได้ 2500 รอบขึ้นไป
6.เครื่อง 2.0 ลิตรขึ้นไปความเร็วคงที่ที่ทำให้ประหยัด110 กม./ชม.
7.เครื่อง 1.6 ลิตรขึ้นไปความเร็วคงที่ที่ทำให้ประหยัด 90 กม./ชม.
8.พักรถสัก 15 นาทีเมื่อขับเกิน 4 ชม.เพื่อให้ลดความร้อน
9.เกียร์ถอยกินน้ำมันมากสุด ควรค่อยๆถอยไม่ต้องรีบ
10.ก่อนถึงปลายทางสัก 500 เมตรให้ปิด COM แอร์ลดภาระเครื่อง
11.เช็คลมยางให้สม่ำเสมอทุกๆ 2 อาทิตย์และเมื่อจะออกเดินทางไปต่างจังหวัด
12.พยายามอย่าใส่ของไว้ในรถเยอะ
 

ผลที่จะได้รับ
อุณหภูมิที่เย็นน้ำมันหดตัวได้ปริมาตรมากขึ้น 2%
ถ้าเติมจนเต็มปรี่ ร้อนๆน้ำมันจะขยายตัวระเหยทิ้งที่รูระบาย
เครื่องจะได้ไม่ใช้กำลังฉุดมากและการหล่อลื่นจะสมบูรณ์ขึ้น
ได้ความนิ่มนวล ประหยัด และลดการสึกหรอของเครื่องยนต์
การลากเกียร์จะทำให้ชดเกียร์ทำงานจนอายุการใช้งานสั้น
รักษาสเถียรภาพความเร็วทำให้กินน้ำมันน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง
รักษาสเถียรภาพความเร็วทำให้กินน้ำมันน้อยที่สุดขณะรถวิ่ง
ให้น้ำมันในระบบคลายความร้อนกลับมามีคุณสมบัติที่ดีอีกครั้ง
เกียร์ถอยใช้อัตราทดและแรงฉุดมากกว่าทุกเกียร์
เป่าลมไล่ความชื้นในตู้แอร์และไล่เชื้อราที่อยู่ในนั้นด้วย
ลมยางอ่อนวิ่งได้ช้า ขอบยางสึกมากอายุการใช้งานสั้น
เพิ่มน้ำหนักรถทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้น 20 % ตามระยะทาง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.manager.co.th
 
ตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกล

กรณีที่คุณต้องการเดินทางไกล สิ่งแรกที่ต้องทำคือตรวจเช็คสภาพรถยนต์ด้วยตัวคุณเอง เพื่อช่วยให้เกิดมั่นใจในการขับขี่ หรือหากพบข้อบกพร่องก็สามารถแก้ไขก่อนเดินทาง สำหรับวิธีการตรวจเช็คเบื้องต้นสามารถทำได้ดังนี้

ตรวจรถภายนอก

- ยาง ตรวจความดันลมยาง ดอกยาง และรอยฉีกขาด
- ตรวจดูว่าขันแน่นดี แต่ก็ไม่แน่นจนเกินไปจนคลายออก ไม่ได้ด้วยตัวเอง
- รอยรั่วซึม ตรวจดูว่ามีร่องรอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค หรือ น้ำรั่วซึมจากใต้ท้องรถ
- ยางปัดน้ำฝน ทดลองปัดดู
- ไฟส่องสว่าง ตรวจดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรค ไฟเลี้ยวหรืออื่นๆรวมทั้งระดับไฟหน้าด้วยว่าเป็นปกติทั้งหมด
ตรวจภายในรถ
- ยางอะไหล่และแม่แรง ตรวจเช็คลมยาง และให้แน่ใจว่าแม่แรงและด้ามขันใช้งานได้ตามปกติ
- เข็มขัดนิรภัย ตรวจเช็คว่าหัวเข็มขัดสามารถลอ็คได้เรียบร้อย
- แตร ให้แน่ใจว่าดังดี
- แผงควบคุมและอุปกรณ์ ตรวจดูให้แน่ใจว่าทำงานเป็นปกติ และที่ปัดน้ำฝน ปัดได้เรียบร้อยสม่ำเสมอ
- เบรก เช็คระยะฟรีขาเบรคอยู่ในค่ากำหนดหรือไม่
- ฟิวส์สำรองที่เตรียมไว้ต้องมีขนาดค่ากระแสใช้ได้ตามที่กำหนดที่แผงฟิวส์


ตรวจใต้ฝากระโปรงหน้า

- ระดับน้ำหล่อเย็น ควรจะมีอยู่ถึงระดับสูงสุดในถังพักสำรอง
- หม้อน้ำและท่อยาง ควรดูว่าด้านหน้าหม้อน้ำหมดจดไม่มีเศษวัสดุ หรือใบไม้ติดอยู่ ดูท่อยางว่ามีรอยแยก
เปื่อย มีรอยฉีกขาดหรือหลวม
- สายพานขับต่างๆ ต้องไม่มีรอยแตก เลอะน้ำมันหล่อลื่น และความตึงสายพานอยู่ในค่ากำหนด
- แบตเตอรี่และสายไฟ ตรวจดูและเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับที่กำหนดดูเปลือกแบตเตอรี่ว่ามีร่องรอยเสียหาย
หรือไม่ ดูขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่
- ระดับน้ำมันเบรคและคลัชท์ ตรวจดูว่าระดับน้ำมันเบรคและคลัทช์อยู่ในระดับที่ถูกต้อง
- ท่อน้ำมันเชื้อเพลิง ตรวจดูว่าท่อน้ำมันมีการรั่วหลุดหรือไม่


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.manager.co.th
 

กรุณาปิด โปรแกรมบล๊อกโฆษณา เพราะเราอยู่ได้ด้วยโฆษณาที่ท่านเห็น
Please close the adblock program. Because we can live with the ads you see
ด้านบน